ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เจ้าท่าเสร็จสิ้นภารกิจการเติมทราย และปรับชายหาดชลาทัศน์ ให้กลับสู่สภาพเดิมเพื่อคืนธรรมชาติให้แก่ชายหาดแล้ว โดยได้ทรายขึ้นมาเกือบ 5 แสนคิว ในระยะทาง 450 เมตร ได้ความกว้างชายหาด 80 เมตร
วันนี้ (16 ก.ย.) ที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ แหลมสมิหลาสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการปฏิบัติภารกิจเติมทราย และปรับชายหาดชลาทัศน์ให้กลับสู่สภาพเดิม เพื่อคืนธรรมชาติให้แก่ชายหาด โดยกรมเจ้าท่าได้นำป้ายมาติดมีข้อความว่า “กรมเจ้าท่า ขอส่งมอบหาดสมิหลา (ถนนชลาทัศน์) คืนแด่พี่น้องชาวสงขลาและนักท่องเที่ยว” ติดที่ต้นสนบริเวณจุดเริ่มดำเนินการดูดทรายเติมชายหาดชลาทัศน์ หาดเก้าเส้ง และจุดสุดท้ายใกล้ศาลาริมทาง
โดยในวันนี้ รถแบ็กโฮ 2 คันที่ตักทรายได้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ส่วนเรือดูดทรายก็จะดูดทรายเป็นวันสุดท้าย เพื่อเติมทรายในน้ำให้แก่ชายหาดเป็นระยะทาง 50 เมตร ใช้วิธีให้คลื่นซัดทรายจากท่อส่งทรายเข้าหาชายหาดตามธรรมชาติ ในส่วนของรถแทร็กเตอร์ ของศูนย์พัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 จังหวัดสงขลา ก็เร่งการทำงานในการปรับพื้นที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ ให้กลับเป็นชายหาดธรรมชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จในวันนี้เช่นกัน ในขณะนี้ ได้ทรายขึ้นมาทั้งหมดเกือบ 500,000 คิว ระยะทาง 450 เมตรได้ความกว้างชายหาด 80 เมตร
นายณัฐชัย พลกล้า ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนา และบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า สำหรับการนำเรือดูดทรายของกรมเจ้าท่ามาทำการดูดทรายเติมชายหาดในครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง กรมเจ้าท่า โดยศูนย์พัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 จังหวัดสงขลา กับเทศบาลนครสงขลา ดำเนินการดูดทรายบริเวณชายฝั่งชายหาดชลาทัศน์ที่ถูกคลื่นกัดเซาะชายฝั่งขึ้นมาเติมบนชายหาดชลาทัศน์ ตั้งแต่บริเวณบ้านเก้าเส้งไปจนถึงบริเวณชายหาด หน้าทัพเรือภาคที่ 2 โดยงบประมาณกรมเจ้าท่า จำนวน 5 ล้านบาท และทางเทศบาลนครสงขลา สนับสนุนงบประมาณ 1,400,000 บาท
โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา ระหว่างดำเนินการประสบปัญหาระบบไฮดรอลิกหัวขุดขัดข้องจำเป็นต้องหยุดทำการซ่อม 2 สัปดาห์ หลังจากนั้น ก็ดำเนินการต่อโดยเร่งดำเนินการ จนงานแล้วเสร็จทั้งหมดในวันที่ 15 กันยายน 2555
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการใช้วิธีเติมทรายชายหาด โดยใช้วิธีนำทรายจากนอกฝั่งเข้ามาเติมบริเวณชายหาด ซึ่งจะต้องมีการเติมทรายกันทุกปี หลังจากที่คลื่นได้ซัดทรายลงไปในทะเลช่วงฤดูมรสุมที่ผ่านมา ถ้าการเติมทรายในครั้งนี้มีผลที่ดี หมายถึงหาดทรายที่เติมมายังคงอยู่ ไม่หายไปทุกฤดูมรสุมก็เป็นเรื่องที่ดี และเป็นตัวอย่างให้พื้นที่อื่นได้ดำเนินการต่อไป
วันนี้ (16 ก.ย.) ที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ แหลมสมิหลาสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในการปฏิบัติภารกิจเติมทราย และปรับชายหาดชลาทัศน์ให้กลับสู่สภาพเดิม เพื่อคืนธรรมชาติให้แก่ชายหาด โดยกรมเจ้าท่าได้นำป้ายมาติดมีข้อความว่า “กรมเจ้าท่า ขอส่งมอบหาดสมิหลา (ถนนชลาทัศน์) คืนแด่พี่น้องชาวสงขลาและนักท่องเที่ยว” ติดที่ต้นสนบริเวณจุดเริ่มดำเนินการดูดทรายเติมชายหาดชลาทัศน์ หาดเก้าเส้ง และจุดสุดท้ายใกล้ศาลาริมทาง
โดยในวันนี้ รถแบ็กโฮ 2 คันที่ตักทรายได้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว ส่วนเรือดูดทรายก็จะดูดทรายเป็นวันสุดท้าย เพื่อเติมทรายในน้ำให้แก่ชายหาดเป็นระยะทาง 50 เมตร ใช้วิธีให้คลื่นซัดทรายจากท่อส่งทรายเข้าหาชายหาดตามธรรมชาติ ในส่วนของรถแทร็กเตอร์ ของศูนย์พัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 จังหวัดสงขลา ก็เร่งการทำงานในการปรับพื้นที่บริเวณชายหาดชลาทัศน์ ให้กลับเป็นชายหาดธรรมชาติ ซึ่งจะแล้วเสร็จในวันนี้เช่นกัน ในขณะนี้ ได้ทรายขึ้นมาทั้งหมดเกือบ 500,000 คิว ระยะทาง 450 เมตรได้ความกว้างชายหาด 80 เมตร
นายณัฐชัย พลกล้า ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนา และบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า สำหรับการนำเรือดูดทรายของกรมเจ้าท่ามาทำการดูดทรายเติมชายหาดในครั้งนี้ เป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง กรมเจ้าท่า โดยศูนย์พัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 4 จังหวัดสงขลา กับเทศบาลนครสงขลา ดำเนินการดูดทรายบริเวณชายฝั่งชายหาดชลาทัศน์ที่ถูกคลื่นกัดเซาะชายฝั่งขึ้นมาเติมบนชายหาดชลาทัศน์ ตั้งแต่บริเวณบ้านเก้าเส้งไปจนถึงบริเวณชายหาด หน้าทัพเรือภาคที่ 2 โดยงบประมาณกรมเจ้าท่า จำนวน 5 ล้านบาท และทางเทศบาลนครสงขลา สนับสนุนงบประมาณ 1,400,000 บาท
โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา ระหว่างดำเนินการประสบปัญหาระบบไฮดรอลิกหัวขุดขัดข้องจำเป็นต้องหยุดทำการซ่อม 2 สัปดาห์ หลังจากนั้น ก็ดำเนินการต่อโดยเร่งดำเนินการ จนงานแล้วเสร็จทั้งหมดในวันที่ 15 กันยายน 2555
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการใช้วิธีเติมทรายชายหาด โดยใช้วิธีนำทรายจากนอกฝั่งเข้ามาเติมบริเวณชายหาด ซึ่งจะต้องมีการเติมทรายกันทุกปี หลังจากที่คลื่นได้ซัดทรายลงไปในทะเลช่วงฤดูมรสุมที่ผ่านมา ถ้าการเติมทรายในครั้งนี้มีผลที่ดี หมายถึงหาดทรายที่เติมมายังคงอยู่ ไม่หายไปทุกฤดูมรสุมก็เป็นเรื่องที่ดี และเป็นตัวอย่างให้พื้นที่อื่นได้ดำเนินการต่อไป
