รายงาน...ศูนย์หาดใหญ่
“เอาไม่อยู่แล้ว ในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา ผมดูแล้วสภาพไม่ใช่ตาสีตาสาแล้ว ทำเป็นแปลงเป็นล็อกสวยงามหมด ทำแล้วขายให้แก่เถ้าแก่หมด อันนี้ก็ลุกต่อไปเผาไปเผาต่อไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น พื้นที่ใดที่มีไฟไหม้ ห้ามเข้าไปทำกินอะไรทั้งสิ้นยกเว้นพื้นที่ สปก. ส่วนพื้นที่เขตสงวนฯ หรือพื้นที่ป่าไม้ ไม่มีปล่อยไม่ว่าใครทั้งนั้น จับทั้งหมด”
นี่คือคำพูดของ นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ขึ้นบินสำรวจและตรวจนับจุดที่มีแนวไฟไหม้บริเวณป่าพรุควนเคร็ง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งพบว่า ยังคงมีไฟไหม้ลุกลามอีกกว่า 30 จุด และมีความเสียหายไปแล้วเกือบ 20,000 ไร่ รวมทั้งพื้นที่แปลงศึกษาไม้เสม็ดขาวครบวงจรของมูลนิธิชัยพัฒนา ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อีกว่า 500 ไร่ และยังคงลุกลามต่อเนื่องซึ่งแปลงศึกษามีทั้งหมดกว่า 1,900 ไร่ จึงได้สั่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่ 1,000 นาย ลงมาสนับสนุนทันที โดยจะเร่งดำเนินการดับไฟให้ได้ภายใน 2-3 วันนี้
นายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ยังกล่าวต่ออีกว่า การจุดคือลักษณะแบบแอบจุด จุดเพื่อจะเอาพื้นที่ชัดเจน แอบจุด จุดโน้นจุดนี้ขึ้นเป็นระยะๆ เพราะฉะนั้น วิธีการแก้ไขวันนี้คือ ต้องใช้คนดับ เพราะกำลังคนแค่ 300 คน ไม่พอ กรมอุทยานแห่งชาติฯ จะระดมกำลัง 1,000 นาย จากภาคเหนือและภาคอีสานพร้อมอุปกรณ์ดับไฟ รถน้ำเข้ามาในพื้นที่ภายใน 2-3 วันนี้ เพราะถ้าปล่อยไว้อย่างนี้เอาไม่อยู่แล้ว ก็ฟังจากรายงานก็ตกใจ มีอดีตระดับรองผู้ว่าฯ หรือแม้แต่นายก อบต.-อบจ.เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเจ้าของพื้นที่หมด ก็ต้องดำเนินคดีหมดใครที่เกี่ยวข้อง หากมีพยานหลักฐานชัดเจนก็ไม่มียกเว้น และจะตั้งชุดเฉพาะกิจเข้ามาอยู่ในพื้นที่ เพื่อทำการตรวจสอบเอกสารสิทธิทั้งหมด
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ สาเหตุส่วนใหญ่ที่เกิดไฟไหม้เกิดจากการเผาเพื่อบุกรุกที่ยึดเป็นที่ดินทำกิน โดยมีนายทุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีนักการเมืองท้องถิ่น และระดับชาติเข้ามาป่าครอบครองที่ดินอย่างมิชอบ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชจึงสั่งจัดตั้งชุดปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบเอกสารสิทธิ จำนวน 2 ชุดๆ ละ 15 นาย ลงตรวจสอบพื้นที่ทั้งหมด รวมทั้งการออกเอกสารสิทธิครอบครองอย่างมิชอบเพื่อนำไปสู่การเพิกถอนให้ได้
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดในขณะนี้ ไฟยังคงลุกลามขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง กำลังเจ้าหน้าที่หน่วยเสือไฟจากหลายจังหวัดได้ระดมกำลังเข้าช่วยดับไฟ แต่ยังคงพบกับปัญหาอุปสรรคหลายอย่าง เนื่องจากเป็นช่วงหน้าแล้ง ลมกระโชกแรง และระดับน้ำในป่าพรุมีปริมาณน้อยมาก โดยมีระดับน้ำใต้ดินอยู่ที่ความลึก 50 เซนติเมตร
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่อยู่บริเวณรอบพื้นที่ป่าพรุควนเคร็ง ซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากิน รวมถึงไฟยังได้ไหม้ลุกลามพื้นที่สวนยาง และสวนปาล์มเสียหายแล้วเป็นจำนวนมาก