xs
xsm
sm
md
lg

“เศรษฐกิจพอเพียง” เมื่อไหร่จึงจะพอ?/ประสาท มีแต้ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม

เมื่อวันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม 2555 มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ได้จัดให้มีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็น “แผนพัฒนาภาคใต้” โดยได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นักวิชาการ นักกิจกรรมทางสังคมทั้งในทางภาคใต้ และส่วนกลางรวมกันประมาณ 30 คน

ผมขอเท้าความสักนิดว่า ทำไมจึงได้มีการคุยกันในประเด็นนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองแล้ว เรื่องของเรื่องก็คือว่า “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ 2552” ซึ่งเป็นกระบวนการรับฟัง และเสนอแนะความคิดเห็นระดับชาติในประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ได้มีมติให้ทบทวนกระบวนการพัฒนาภาคใต้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการเมกะโปรเจกต์ อันได้แก่ โรงไฟฟ้า 3-4 โรง ทั้งถ่านหิน และนิวเคลียร์ นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรือน้ำลึกสงขลา-สตูล เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลชุดที่แล้วได้มีมติ ครม.เห็นด้วยกับมติดังกล่าว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งของราชการ และเอกชนต่างก็เดินหน้าโครงการต่อไปไม่หยุดหย่อน จึงสร้างความขัดแย้งในพื้นที่โครงการเกือบทุกจังหวัด ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงไปจนถึงสตูล

ในที่ประชุมดังกล่าว รองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้นำเสนอถึงความจำเป็นของการใช้ไฟฟ้าทั้งภาพรวมของประเทศ และรายจังหวัดของภาคใต้ทั้งหมด โดยมีข้อมูลชัดเจนว่า การใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3% โดยสรุปภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 2010 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ที่เพิ่งผ่านมติ ครม. เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ในแผนนี้คาดว่า ในอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า การใช้ไฟฟ้าของประเทศไทยจะเพิ่มจาก 32,395 เมกะวัตต์ในปี 2554 ไปเป็น 70,686 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นเป็น 220% ของปัจจุบัน (ดูกราฟทางซ้ายมือประกอบ)

การเพิ่มขึ้นถึง 220% นั้น เป็นภาพรวมของการใช้ไฟฟ้าในทุกภาคของเศรษฐกิจ แต่ถ้ากล่าวถึงเฉพาะภาคอุตสาหกรรมอย่างเดียว พบว่า จะมีการเพิ่มขึ้นถึงกว่า 3 เท่าตัว ในขณะที่ภาคครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นเพียงนิดเดียว (จริงๆ)

ผมได้เรียนต่อที่ประชุมว่า ในรัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังอ่านคำวินิจฉัยอยู่นี้ ได้มีคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “สมดุล” อยู่อย่างน้อยคำละสองที่ ถ้าทางการไฟฟ้าฯ คาดหมายว่าการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างที่กล่าวมาแล้ว คำถามก็คือว่า “เมื่อไหร่จึงจะรู้จักพอ” และหากภาคอุตสาหกรรมโตเอาโตเอาไปถึง 3 เท่าตัว ความสมดุลมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อภาคอุตสาหกรรมต้องใช้น้ำจืด และปล่อยน้ำเสียจำนวนมาก ย่อมจะทำให้ภาคการเกษตรมีปัญหา นี่ยังไม่นับถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานจำนวนมาก

เพื่อความชัดเจน ผมได้ฉายภาพการคาดการณ์การใช้ไฟฟ้าของประเทศเยอรมนี (ภาพขวามือ) พบว่า อีกประมาณ 8 ปีข้างหน้า นอกจากจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังกลับลดลงเสียอีก นี่คือ “การรู้จักพอ” ผมเสริมข้อมูลต่อไปว่า ขณะนี้ สินค้าออกที่มีมูลค่าอันดับ 1 และ 2 ของไทยก็คือ รถยนต์ และคอมพิวเตอร์ คำถามก็คือว่า มีรถยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ยี่ห้อเป็นของคนไทยบ้างไหม?

ปัจจุบัน ประเทศไทยผลิตรถยนต์ทั้งส่งออก และใช้เองคิดเป็น 12% ของรายได้ประชาชาติ ถ้ารวมมูลค่าของการผลิตรถยนต์ และคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ก็น่าจะเกือบถึง 20% ของรายได้ประชาชาติ หากเศรษฐกิจโลกมีปัญหา (ซึ่งก็กำลังมีอยู่ในขณะนี้โดยเฉพาะในยุโรป) ประเทศไทยที่ได้แค่ค่าแรงงานก็จะมีปัญหาตามไปด้วย

ทิศทางการพัฒนาประเทศของเราควรมาเน้นที่การสร้างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และสิ่งแวดล้อม อย่าคิดแต่จะเติบโตด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หลักการสำคัญของเศรษฐกิจพอเพียงมี 3 องค์ประกอบ คือ (1) พอประมาณ (2) มีเหตุผล และ (3) มีภูมิคุ้มกันในตัว

ถ้าเปรียบการพัฒนาประเทศไทยเหมือนกับการเติบโตของเด็ก หรือของลูกเรา ถ้าลูกเราเอาแต่โต เอาแต่สูง (2 เมตรกว่าแล้วก็ยังไม่หยุด) โดยไม่มีการพัฒนาทางด้านอารมณ์ ความรับผิดชอบต่อตนเอง และสังคม รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันต่อสิ่งยั่วยวนฝ่ายต่ำ ฯลฯ เราจะรู้สึกดีใจ หรือวิตกกังวลกันแน่

กลับมาที่การใช้ไฟฟ้าอีกทีครับ นอกจากประเทศเยอรมนีได้ “รู้จักพอ” แล้ว เขายังมีเป้าหมายที่จะใช้พลังงานหมุนเวียน (ซึ่งหาได้ภายในประเทศ) เพื่อผลิตไฟฟ้าให้ได้ถึง 47% ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้โลกประสบภัยพิบัติแล้ว ยังเป็นการสร้างงานจำนวนมาก และลดความเหลื่อมล้ำซึ่งประเทศเรากำลังมีปัญหารุนแรงที่สุดในทวีปเอเชีย

ถึงเวลาที่เราควรจะรู้จัก “พอเพียง” ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติได้แล้วครับ ประเทศไทยเราได้ถลำเลยจุดสมดุลมามากแล้ว อันตรายมากครับ!
กำลังโหลดความคิดเห็น