xs
xsm
sm
md
lg

ดันรัฐปรับกฎหมายหลังเซ็นอนุสัญญาต้านซ้อมทรมาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สงขลา - เปิดเวทีถกครบรอบวันต่อต้านการทรมานสากล ผลักรัฐปรับกฎหมายหลังเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ตั้งเกณฑ์ประเมินยกเลิก กม.พิเศษภาคใต้ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ต้องมีประสิทธิภาพ และไม่แพง

วานนี้ (26 มิ.ย.) ที่โรงแรมทีเค.พาเลซ กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้านกระบวนการยุติธรรมในคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายจัดเวทีสาธารณะเรื่อง “การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการเยียวยาเหยื่อซ้อมทรมาน” เนื่องในวาระครบรอบวันต่อต้านการทรมานสากล โดยผู้เข้าร่วมประมาณ 80 คน

นายสมชาย หอมลออ กรรมการปฏิรูปกฎหมายและประธานกรรมการพิจารณาปรับปรุงและพัฒนากฎหมายด้วยกระบวนการยุติธรรม กล่าวเปิดงานเวทีสาธารณะว่า โดยหลักการแล้วรัฐมีหน้าที่ในการปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน แต่ปรากฏว่า ในหลายครั้งเจ้าหน้าที่รัฐกลับเป็นผู้ละเมิดเสียเอง เจ้าหน้าที่รัฐใช้การทรมานเป็นส่วนหนึ่งในการสอบสวน เพราะมีความเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะทำให้ได้มาซึ่งข้อมูล

แม้ว่าประเทศไทยจะได้เข้าร่วมเป็นภาคี (accession) ในอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel, Inhumane or Degrading Treatment or Punishment-CAT) ตั้งแต่ปี 2550 แต่ว่าก็ยังไม่ได้มีการสร้างกฎระเบียบภายในประเทศเพื่อให้บรรลุผลตามอนุสัญญาดังกล่าว

นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า รัฐจะต้องผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ที่ไทยได้เป็นภาคี โดยอาจจะแก้ไขเพิ่มเติมในกฎหมายอาญาซึ่งทำได้อย่างรวดเร็ว หรือออกเป็นกฎหมายเฉพาะขึ้นมา ซึ่งจะต้องใช้เวลา และอาจจะถูกต่อต้านจากเจ้าหน้าที่รัฐ

นอกจากนี้ นายไพบูลย์ กล่าวว่า รัฐควรจะพิจารณากรอบเวลาและเงื่อนไขในการใช้ หรือยกเลิกกฎหมายพิเศษในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เปิดช่องให้เกิดการทรมาน และควรให้ความสำคัญในเรื่องการให้การศึกษาในเรื่องสิทธิมนุษยชนแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับล่าง

น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ เจ้าหน้าที่รณรงค์กฎหมายป้องกันการทรมาน มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้นำเสนอร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและต่อต้านการทรมาน ที่ยกร่างโดยภาคประชาสังคม โดยมีมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นเจ้าภาพ โดยใน พ.ร.บ. จะมีกลไกหลักคือ การตั้งคณะกรรมการเฉพาะขึ้นมาเพื่อตรวจสอบกรณีร้องเรียนการทรมาน

ศ.ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมายกล่าวว่า ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมไทยคือ หน่วยงานต่างๆ ยังคงทำงานอย่างแยกส่วน ไม่มีความร่วมมือระหว่างกัน กระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นกระบวนการที่แพงมาก ประเทศไทยมีจำนวนตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษามาก แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยมีสถิติการยกฟ้องสูงซึ่งแตกต่างกับกระบวนการยุติธรรมของประเทศญี่ปุ่น เมื่อศาลประทับตราแล้ว โอกาสลงโทษของคดีในญี่ปุ่นมีสูงถึง 99.6 เปอร์เซ็นต์

ศ.ดร.คณิตชี้ว่า ศาลของไทยยังคงทำงานเชิงรับ (passive) ทั้งที่จริงๆ แล้วศาลสามารถที่จะตรวจสอบเองได้ แต่มักคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง นอกจากนี้ อัยการของไทยยังทำงานโดยมีวัฒนธรรมสามอย่าง คือ ทำงานสบาย ขี้กลัว และขี้ประจบ ฉะนั้น เราจำเป็นต้องร่วมกันสร้างกระบวนการยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย

น.ส.นริศราวรรณ แก้วนพรัตน์ หลานของพลทหารวิเชียร เผือกสม ผู้ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกทรมานในค่ายทหารใน จ.นราธิวาสเมื่อปี 2554 กล่าวว่า ผ่านมาแล้วหนึ่งปี แต่ว่าคดีของน้าชายของตนยังไม่ถึงชั้นศาล มีเจ้าหน้าที่ทหารระดับล่างที่เป็นผู้ต้องหาคดีนี้ 9 คน ขณะนี้คดีค้างอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สังกัดกระทรวงยุติธรรม (ป.ป.ท.) การพิจารณาคดีดำเนินไปอย่างล่าช้า

นอกจากนี้ น.ส.นริศราวรรณ ยังได้ส่งหนังสือร้องเรียนถึงแม่ทัพภาคที่ 4 และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และได้เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเพื่อร้องเรียนเรื่องนี้ เธอระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ 10 คน แต่มีเพียง 9 คนที่ถูกดำเนินคดี อีก 1 คนซึ่งมียศร้อยโท โดนคุมขังเพียง 15 วัน ตอนแรกมีการเสนอเงินให้ 3 ล้านบาท แต่เมื่อทราบว่าเป็นบุคคลที่มีวุฒิปริญญาตรี ก็มีการเสนอเพิ่มเป็น 5 ล้านบาทเพื่อแลกกับไม่ดำเนินการต่อผู้กระทำผิด

ต่อมา ก็มีการเสนอเงิน 10 ล้านบาทเพื่อที่จะแลกกับการไม่ดำเนินคดีอาญานายทหารยศร้อยโท แต่ครอบครัวต้องการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม การต่อสู้คดีนี้ทำให้ตนไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสืออย่างเต็มที่ ที่ผ่านมาก็ถูกข่มขู่ว่าหากต่อสู้ต่อไปก็อาจจะมีอันตรายมาถึงตัว น.ส.นริศวรรณกล่าว

น.ส.ซุกกรียะห์ บาเหะ ตัวแทนกลุ่มด้วยใจ กล่าวถึงผลวิจัยเรื่องการทรมานซึ่งมาจากการสัมภาษณ์ผู้ต้องหาทั้งสิ้น 50 คน ซึ่งคัดจากจำนวนของผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงในเรือนจำสงขลา 118 คน โดยได้ทำการศึกษาตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน ถึง 3 ตุลาคม 2554 โดยกลุ่มด้วยใจพบว่า จากกลุ่มตัวอย่างนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ถูกซ้อมทรมานในช่วงปี 2547-2551 ช่วงเวลาที่ถูกซ้อมทรมานส่วนใหญ่คือ ช่วงจับกุม ช่วงระหว่างการเดินทาง และการถูกควบคุมตัวภายใต้กฎอัยการศึก และ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

น.ส.ซุกกรียะห์ เปิดเผยอีกว่า บุคคลเหล่านี้มีอาการทางจิตที่เป็นผลมาจากการถูกทรมาน ไม่ไว้ใจคน ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นเนื่องจากความหวาดกลัว นอนไม่ค่อยหลับ มีอาการซึมเศร้า ตกใจง่าย มีอาการพะว้าพะวง นอกจากนี้ ยังพบว่า มีผู้ต้องหา 8 คนที่เคยคิดฆ่าตัวตาย ซึ่งถือว่าเป็นบาปใหญ่สำหรับคนมุสลิม แต่พวกเขาก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้

ดร.แพทย์หญิงปานใจ โวหารดี สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในประเทศที่เจริญแล้ว นิติวิทยาศาสตร์จะมีความเจริญมาก ประเทศเหล่านี้จะไม่ใช้พยานบุคคลในการสืบสวนสอบสวนมากนัก แต่จะใช้พยานหลักที่เป็นนิติวิทยาศาสตร์มากกว่า แต่ในประเทศไทยนิติวิทยาศาสตร์ยังคงพัฒนาไปได้ไม่เร็วนัก และยังไม่เข้มแข็ง ตำรวจยังคงพึ่งพาพยานบุคคลมาก ซึ่งบางครั้งก็ใช้การซ้อมทรมานในการสอบสวนซึ่งวิธีการดังกล่าวมีผลไปยังครอบครัวและชุมชนด้วย

ฮัสซัน โตะดง //โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ)
กำลังโหลดความคิดเห็น