นครศรีธรรมราช - รองอธิบดีราชทัณฑ์เต้นสอบผู้คุมเรือนจำนครศรีธรรมราชแบบเรียงตัว เค้นต้นตอข่าวบิ๊กราชทัณฑ์รับส่วยไม่มีใครปริปาก อดีต ขรก.ผู้แฉขบวนการ “กินตรวน” โบ้ยไม่รู้ไม่เห็นหวั่นชีวิตเป็นอันตราย ด้าน สวป.เผยไม่เกรง “บังมะ” ย้ำยังไล่ล่าเมีย-แม่ ซ้ำหมายจับคดีค้ายาเสพติดยังมีอีกหลายคดีเผย ตร.ถูกขึ้นบัญชี 12 ราย
ที่ จ.นครศรีธรรมราช ความเคลื่อนไหวในการสอบสวนสืบสวนในส่วนต่างๆ ของเรือนจำนครศรีธรรมราช ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการค้ายาเสพติดในเรือนจำ การสืบสวนข้อมูลโทรศัพท์มือถือ และการสอบสวนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ภายในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (7 พ.ค.) นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จำนวน 3 ชุดได้เดินทางมายังเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เพื่อทำการสอบสวนในประเด็นข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏเป็นข่าวในกรณีพฤติกรรมการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งมีอยู่หลายส่วนด้วยกัน
โดยนายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้สั่งการให้นายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยจำนวน 11 รายมาพบ และสอบสวนแบบเรียงตัวในเรื่องข้อมูลที่ปรากฏเป็นข่าวในหลายสื่อ 2 ประเด็นคือส่วยเดือนละ 1 ล้านส่งไปถึงบิ๊กราชทัณฑ์ และเรื่องของผู้คุม “กินตรวน”
นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ในการเข้ามาสอบสวนนั้นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นข่าวที่สร้างความเสื่อมเสียหายให้แก่องค์กรเป็นอย่างมาก ข่าวออกมาในทำนองผู้ใหญ่ในกรมราชทัณฑ์รู้เห็นเป็นใจส่งส่วยกันเดือนละเป็นล้าน ร้อนใจแต่ไม่ใช่ร้อนตัว ชั้นต้นคุยกันทั้ง 11 คน และสอบถามหาใครเป็นคนให้ข่าวไม่ใช่เอาผิด แต่อยากรู้ข้อเท็จจริง ในกรมราชทัณฑ์ถ้าหมายถึงบิ๊กคงจะหมายถึงอธิบดีและรองอธิบดี เท่านั้น ถามกันแล้วต้องมาจัดการเคลียร์กันให้ชัดว่ามันจริงหรือไม่ โดยรวม 11 คนต่างบอกว่าไม่มีใครคุยกับผู้สื่อข่าวในลักษณะเช่นนี้
“แม้แต่ผมเองยังไม่ได้รับผลกระทบ ลูกชายที่เป็นประธานนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งถูกโทร.มาถามว่าพ่อเอ็งรับเดือนละล้านหรือมันกระทบไปถึงทุกส่วนทั้งลูก ทั้งครอบครัว เรามีความชัดเจนหากมีข้อมูลที่ชัดเจนปรากฏเราดำเนินคดีจนถึงที่สุด ผลที่เกิดขึ้นเกิดผลลบองค์กร ตัวบุคคล ครอบครัว”
นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวต่อว่า เรื่องต่อมาคือเรื่อง “กินตรวน” ได้เชิญอดีตเจ้าหน้าที่ที่ให้ข่าวถึงเรื่องของกระบวนการ “กินตรวน” นั้นมาให้ข้อมูล ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้มาให้ข้อมูล และปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ข่าวในเรื่องนี้ และไม่รู้เห็นกับเรื่องของการกินตรวน
“ในส่วนของการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่นั้น ขณะนี้ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการเจ้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป หลังจากนั้นการดำเนินการทางวินัยจะดำเนินการตามขั้นตอน และเรื่องของขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า เกิดอาการช็อกไปขณะหนึ่ง ผบ.คนใหม่จะจัดการบำรุงขวัญกันเต็มที่ ไม่ว่าคนที่อยู่ระหว่างการสอบสวน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานมีกำลังใจในการต่อสู้กันแต่สิ่งที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าโทรศัพท์จำนวนมากมันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นคนในเรือนจำทราบดีว่าเกิดจากอะไร เราต้องใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการทำความสะอาดกรมราชทัณฑ์ให้สะอาด และโปร่งใสครั้งใหญ่”
รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวอีกว่า สำหรับเรือนจำที่ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทยนั้นก็มีทั้งหมด 9 แห่ง ในภาคใต้ก็มีสองแห่งคือนครศรีธรรมราช, สงขลา ซึ่งนักโทษคนใดที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับโทรศัพท์ก็จะมีการโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อจะได้ห่างไกลจากเครือข่าย และในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ก็จะมีการติดตั้งระบบการตัดเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มในอีก 4 เรือนจำคือ คลองไผ่, ระยอง, พิษณุโลก และเขาบิน นักโทษคนใดชอบใช้โทรศัพท์ก็จะส่งไปอยู่เรือนจำเหล่านั้นรับได้ประมาณร่วมหมื่นคน และเมื่อเรือนจำซูเปอร์แมกซ์เสร็จแล้วนักโทษในคดียาเสพติดจะกระดิกไม่ได้เลย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในเรื่องของผู้คุมกินตรวนนั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อรองอธิบดีมานั่งถามใครจะกล้าตอบ ซึ่งการถามนั้นมีคนรู้เห็นมากมายทั้งผู้ที่ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ และผู้บังคับบัญชา ไม่มีใครจะกล้าตอบ ลองไปถามนักโทษดูว่าจริงหรือไม่อย่างไร จะได้ผลมากกว่าการมานั่งถามด้วยกันเอง และไม่มีเจ้าหน้าที่รายไหนตอบว่ารู้เห็น ถ้าตอบอย่างนั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์แน่นอน และหากตอบตามความจริงไปแล้วถูกยิงตายไป รองอธิบดีไม่สามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีพมาได้
นายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า การตรวจค้นเรือนจำยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.มาจนถึงวันที่ 7 พ.ค. เราได้มีเป้าหมายในการตรวจค้นสามารถยึดโทรศัพท์ได้อย่างต่อเนื่อง ในแดน 6 เราได้ตัวเจ้าของ 8 ราย รวมแล้วทั้งหมด 15 เครื่อง และเมื่อรวมการยึดโทรศัพท์หลังจากการตรวจค้นมาจนถึงวันนี้แล้วถึง 75 เครื่อง
“โทรศัพท์มือถือถูกฝังดินไว้ ขณะนี้มีราคาดีจึงขุดเอามาขายให้แก่นักโทษที่ต้องการในราคาสูง ส่วนยาเสพติด หรือซิมโทรศัพท์นั้นซุกซ่อนหลายจุดตามซอกหลืบต่างๆ แม้กระทั่งการยัดเข้าไปในทวารหนัก เมื่อจะใช้ต้องถ่ายออกมา และเมื่อจวนตัวถ่ายออกมาไม่ทันจะล้างยาเสพติดก็กลืนกลับเข้าไปในท้องใหม่ ขณะนี้หากไม่เข้าเพิ่มไปอีกของพวกนี้จะค่อยๆ หมดไปอย่างแน่นอน” ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชกล่าว
ส่วนการโทรศัพท์ออกมาข่มขู่ พ.ต.ท.สมชาย มวยดี สวป.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช จากนายพิศาล นุกูล หรือ “บังมะ” นักโทษในคดียาเสพติด และพยายามฆ่าน้องชายของ “บังแป๋ว” นักโทษคดีค้ายาเสพติดที่เจ้าหน้าที่ได้จับกุม และขยายผลยึดทรัพย์เป็นเรือยอชต์ รถยนต์ปอร์เช่ และทรัพย์สินอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ พ.ต.ท.สมชาย มวยดี สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังจากที่เป็นข่าวแล้วผู้บังคับบัญชาหลายท่านโทรศัพท์มาให้กำลังใจ และให้ระมัดระวังตัว และนายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้โทร.มาสอบถามและให้กำลังใจเช่นเดียวกัน สำหรับเสียงที่โทรศัพท์มานั้นไม่มีใครนอกจากบังมะ เสียงจำได้ดี แต่เมื่อโทรศัพท์กลับไปเครื่องปิดไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับที่เจ้าหน้าที่ไปพบรายชื่อของตำรวจที่บังมะขึ้นบัญชีไว้ถึง 12 นายด้วยกัน
“ที่รู้จักกันดีเพราะหลังจากจับกุมนั้น บังมะได้ให้ทนายความฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจรวม 17 นาย และได้ถอนฟ้อง ร.ต.ต.โสภา พันธโชติ ไป 1 นาย เนื่องจากทนายความเกรงใจ แต่ภายหลังนายพิศาลได้เปลี่ยนตัวทนายความ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องยังไม่แล้วเสร็จ สาเหตุที่ยังไม่เสร็จคือ ภรรยา และมารดาของนายพิศาล หรือบังมะ ได้หลบหนีหมายจับในดคียาเสพติดไปแล้วไม่มาไต่สวนมูลฟ้อง เฉพาะที่บังมะติดในคดีพยายามฆ่านั้น ศาลลงโทษจำคุก 10 ปี ยังไม่รวมคดีอื่นๆ เช่นยาเสพติด อาวุธปืนอีก เชื่อว่าต้องติดอย่างน้อย 30 ปี อีกยาว หากออกมาเมื่อไหร่เจอค้ายาอีกก็จับอีก” สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช กล่าว
ที่ จ.นครศรีธรรมราช ความเคลื่อนไหวในการสอบสวนสืบสวนในส่วนต่างๆ ของเรือนจำนครศรีธรรมราช ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการค้ายาเสพติดในเรือนจำ การสืบสวนข้อมูลโทรศัพท์มือถือ และการสอบสวนเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ภายในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อช่วงเช้าของวันนี้ (7 พ.ค.) นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ พร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง จำนวน 3 ชุดได้เดินทางมายังเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เพื่อทำการสอบสวนในประเด็นข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏเป็นข่าวในกรณีพฤติกรรมการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ซึ่งมีอยู่หลายส่วนด้วยกัน
โดยนายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้สั่งการให้นายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยจำนวน 11 รายมาพบ และสอบสวนแบบเรียงตัวในเรื่องข้อมูลที่ปรากฏเป็นข่าวในหลายสื่อ 2 ประเด็นคือส่วยเดือนละ 1 ล้านส่งไปถึงบิ๊กราชทัณฑ์ และเรื่องของผู้คุม “กินตรวน”
นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ในการเข้ามาสอบสวนนั้นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นข่าวที่สร้างความเสื่อมเสียหายให้แก่องค์กรเป็นอย่างมาก ข่าวออกมาในทำนองผู้ใหญ่ในกรมราชทัณฑ์รู้เห็นเป็นใจส่งส่วยกันเดือนละเป็นล้าน ร้อนใจแต่ไม่ใช่ร้อนตัว ชั้นต้นคุยกันทั้ง 11 คน และสอบถามหาใครเป็นคนให้ข่าวไม่ใช่เอาผิด แต่อยากรู้ข้อเท็จจริง ในกรมราชทัณฑ์ถ้าหมายถึงบิ๊กคงจะหมายถึงอธิบดีและรองอธิบดี เท่านั้น ถามกันแล้วต้องมาจัดการเคลียร์กันให้ชัดว่ามันจริงหรือไม่ โดยรวม 11 คนต่างบอกว่าไม่มีใครคุยกับผู้สื่อข่าวในลักษณะเช่นนี้
“แม้แต่ผมเองยังไม่ได้รับผลกระทบ ลูกชายที่เป็นประธานนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งถูกโทร.มาถามว่าพ่อเอ็งรับเดือนละล้านหรือมันกระทบไปถึงทุกส่วนทั้งลูก ทั้งครอบครัว เรามีความชัดเจนหากมีข้อมูลที่ชัดเจนปรากฏเราดำเนินคดีจนถึงที่สุด ผลที่เกิดขึ้นเกิดผลลบองค์กร ตัวบุคคล ครอบครัว”
นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวต่อว่า เรื่องต่อมาคือเรื่อง “กินตรวน” ได้เชิญอดีตเจ้าหน้าที่ที่ให้ข่าวถึงเรื่องของกระบวนการ “กินตรวน” นั้นมาให้ข้อมูล ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้มาให้ข้อมูล และปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ข่าวในเรื่องนี้ และไม่รู้เห็นกับเรื่องของการกินตรวน
“ในส่วนของการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่นั้น ขณะนี้ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการเจ้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป หลังจากนั้นการดำเนินการทางวินัยจะดำเนินการตามขั้นตอน และเรื่องของขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่า เกิดอาการช็อกไปขณะหนึ่ง ผบ.คนใหม่จะจัดการบำรุงขวัญกันเต็มที่ ไม่ว่าคนที่อยู่ระหว่างการสอบสวน เจ้าหน้าที่ที่ทำงานมีกำลังใจในการต่อสู้กันแต่สิ่งที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าโทรศัพท์จำนวนมากมันมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นคนในเรือนจำทราบดีว่าเกิดจากอะไร เราต้องใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการทำความสะอาดกรมราชทัณฑ์ให้สะอาด และโปร่งใสครั้งใหญ่”
รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์กล่าวอีกว่า สำหรับเรือนจำที่ถือเป็นพื้นที่เสี่ยงในประเทศไทยนั้นก็มีทั้งหมด 9 แห่ง ในภาคใต้ก็มีสองแห่งคือนครศรีธรรมราช, สงขลา ซึ่งนักโทษคนใดที่มีพฤติกรรมเกี่ยวกับโทรศัพท์ก็จะมีการโยกย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อจะได้ห่างไกลจากเครือข่าย และในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ก็จะมีการติดตั้งระบบการตัดเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มในอีก 4 เรือนจำคือ คลองไผ่, ระยอง, พิษณุโลก และเขาบิน นักโทษคนใดชอบใช้โทรศัพท์ก็จะส่งไปอยู่เรือนจำเหล่านั้นรับได้ประมาณร่วมหมื่นคน และเมื่อเรือนจำซูเปอร์แมกซ์เสร็จแล้วนักโทษในคดียาเสพติดจะกระดิกไม่ได้เลย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในเรื่องของผู้คุมกินตรวนนั้น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อรองอธิบดีมานั่งถามใครจะกล้าตอบ ซึ่งการถามนั้นมีคนรู้เห็นมากมายทั้งผู้ที่ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ และผู้บังคับบัญชา ไม่มีใครจะกล้าตอบ ลองไปถามนักโทษดูว่าจริงหรือไม่อย่างไร จะได้ผลมากกว่าการมานั่งถามด้วยกันเอง และไม่มีเจ้าหน้าที่รายไหนตอบว่ารู้เห็น ถ้าตอบอย่างนั้นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์แน่นอน และหากตอบตามความจริงไปแล้วถูกยิงตายไป รองอธิบดีไม่สามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีพมาได้
นายสุรพล แก้วภราดัย ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า การตรวจค้นเรือนจำยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค.มาจนถึงวันที่ 7 พ.ค. เราได้มีเป้าหมายในการตรวจค้นสามารถยึดโทรศัพท์ได้อย่างต่อเนื่อง ในแดน 6 เราได้ตัวเจ้าของ 8 ราย รวมแล้วทั้งหมด 15 เครื่อง และเมื่อรวมการยึดโทรศัพท์หลังจากการตรวจค้นมาจนถึงวันนี้แล้วถึง 75 เครื่อง
“โทรศัพท์มือถือถูกฝังดินไว้ ขณะนี้มีราคาดีจึงขุดเอามาขายให้แก่นักโทษที่ต้องการในราคาสูง ส่วนยาเสพติด หรือซิมโทรศัพท์นั้นซุกซ่อนหลายจุดตามซอกหลืบต่างๆ แม้กระทั่งการยัดเข้าไปในทวารหนัก เมื่อจะใช้ต้องถ่ายออกมา และเมื่อจวนตัวถ่ายออกมาไม่ทันจะล้างยาเสพติดก็กลืนกลับเข้าไปในท้องใหม่ ขณะนี้หากไม่เข้าเพิ่มไปอีกของพวกนี้จะค่อยๆ หมดไปอย่างแน่นอน” ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชกล่าว
ส่วนการโทรศัพท์ออกมาข่มขู่ พ.ต.ท.สมชาย มวยดี สวป.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช จากนายพิศาล นุกูล หรือ “บังมะ” นักโทษในคดียาเสพติด และพยายามฆ่าน้องชายของ “บังแป๋ว” นักโทษคดีค้ายาเสพติดที่เจ้าหน้าที่ได้จับกุม และขยายผลยึดทรัพย์เป็นเรือยอชต์ รถยนต์ปอร์เช่ และทรัพย์สินอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ พ.ต.ท.สมชาย มวยดี สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า หลังจากที่เป็นข่าวแล้วผู้บังคับบัญชาหลายท่านโทรศัพท์มาให้กำลังใจ และให้ระมัดระวังตัว และนายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้โทร.มาสอบถามและให้กำลังใจเช่นเดียวกัน สำหรับเสียงที่โทรศัพท์มานั้นไม่มีใครนอกจากบังมะ เสียงจำได้ดี แต่เมื่อโทรศัพท์กลับไปเครื่องปิดไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับที่เจ้าหน้าที่ไปพบรายชื่อของตำรวจที่บังมะขึ้นบัญชีไว้ถึง 12 นายด้วยกัน
“ที่รู้จักกันดีเพราะหลังจากจับกุมนั้น บังมะได้ให้ทนายความฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจรวม 17 นาย และได้ถอนฟ้อง ร.ต.ต.โสภา พันธโชติ ไป 1 นาย เนื่องจากทนายความเกรงใจ แต่ภายหลังนายพิศาลได้เปลี่ยนตัวทนายความ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการไต่สวนมูลฟ้องยังไม่แล้วเสร็จ สาเหตุที่ยังไม่เสร็จคือ ภรรยา และมารดาของนายพิศาล หรือบังมะ ได้หลบหนีหมายจับในดคียาเสพติดไปแล้วไม่มาไต่สวนมูลฟ้อง เฉพาะที่บังมะติดในคดีพยายามฆ่านั้น ศาลลงโทษจำคุก 10 ปี ยังไม่รวมคดีอื่นๆ เช่นยาเสพติด อาวุธปืนอีก เชื่อว่าต้องติดอย่างน้อย 30 ปี อีกยาว หากออกมาเมื่อไหร่เจอค้ายาอีกก็จับอีก” สวป.สภ.เมืองนครศรีธรรมราช กล่าว