ปัตตานี - แม่ทัพภาคที่ 4 หารือญาติผู้เสียชีวิตเหตุทหารยิงชาวบ้าน 4 ศพ รอบที่ 2 พร้อมเร่งดำเนินการข้อเสนอ 3 ข้อ ล่าสุดจากการผ่าชันสูจน์ศพพบหัวกระสุนปืนลูกซองด้วย เร่งตรวจสอบว่ามีหน่วยอื่นเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
วันนี้(12 ก.พ.) ที่โรงแรม ซีเอส ปัตตานี พลโทอุดมชัย ธรรมสาโรรัช แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เรียกญาติและตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารพรานใช้อาวุธปืนยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ศพและบาดเจ็บ 5 ราย เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา มาหารือและพูดคุยกันโดยเฉพาะข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่ชาวบ้านขอให้ทางกองทัพดำเนินการอย่างเร่งด่วนเนื่องจากทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับข้อมูลว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ได้มาจากชาวบ้าน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าก็ได้ดำเนินการไปแล้วเพื่อให้เกิดความสบายใจของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการถอนทหารพรานคู่กรณีออกจากพื้นที่ การตั้งคณะกรรมการอิสระโดยที่ชาวบ้านเป็นผู้สรรหา
โดยเฉพาะการให้ข่าวของฝ่ายทหารที่ออกมาระบุว่าเป็นการปะทะกันกับกลุ่มแนวร่วมซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน ซึ่งทางแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้ดำเนินการต่อผู้ที่ให้ข่าวแล้วโดยการลดบทบาทในหน้าที่ที่รับผิดชอบ ส่วนในกรณีที่ชาวบ้านเกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัยนั้น ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ยืนยันว่า ทางกองทัพไม่ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่กระทำการนอกกฏหมายพวกที่ทำต้องถูกกฏหมายลงโทษแน่นอน ส่วนการนำทหารพรานชุดใหม่เข้ามาแทนชุดที่มีปัญหานั้น แม่ทัพของเวลาประเมินการทำงาน 1 เดือน หากยังไม่เป็นที่พอใจกับชาวบ้านก็จะให้ถอนกำลังออกทันที โดยการหารือครั้งนี้ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงบรรยากาศทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจมากขึ้น
พลโท อุดมชัย ธรรมสาโรรัช แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผย ภายหลังการหารือว่า ตนได้นำสารจาก ผบ.ทบ.ฝากแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและฝากเงินช่วยเหลือบำรุงขวัญแก่ผู้ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ส่วนการดำเนินการตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อชาวบ้านก็พอใจ
ในส่วนข้อมูลล่าสุดจากการผ่าชันสูจน์ศพผู้เสียชีวิตรายหนึ่งพบหัวกระสุนปืนลูกซอง หรืออาจจะมีหน่วยอื่นรวมอยู่ด้วยเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทหารพรานนั้น ที่เกิดเหตุมีกองกำลังทหารพราน ตำรวจและฝ่ายปกครอง ซึ่งในส่วนของกระสุนปืนลูกซองนั้นก็ต้องมีการพิสูจน์ทราบว่าจะเป็นของส่วนไหน ตนก็อยากให้เป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวน แต่ทั้งทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายปกครองไม่ได้ใช้ปืนลูกซองซึ่งต้องไปดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามให้รัฐชนกับประชาชนซึ่งต้องไปดูและต้องขยายผลต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาหมองใจให้กับประชาชน
วันนี้(12 ก.พ.) ที่โรงแรม ซีเอส ปัตตานี พลโทอุดมชัย ธรรมสาโรรัช แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เรียกญาติและตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารพรานใช้อาวุธปืนยิงชาวบ้านเสียชีวิต 4 ศพและบาดเจ็บ 5 ราย เมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา มาหารือและพูดคุยกันโดยเฉพาะข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่ชาวบ้านขอให้ทางกองทัพดำเนินการอย่างเร่งด่วนเนื่องจากทางแม่ทัพภาคที่ 4 ได้รับข้อมูลว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ได้มาจากชาวบ้าน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ทาง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าก็ได้ดำเนินการไปแล้วเพื่อให้เกิดความสบายใจของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการถอนทหารพรานคู่กรณีออกจากพื้นที่ การตั้งคณะกรรมการอิสระโดยที่ชาวบ้านเป็นผู้สรรหา
โดยเฉพาะการให้ข่าวของฝ่ายทหารที่ออกมาระบุว่าเป็นการปะทะกันกับกลุ่มแนวร่วมซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน ซึ่งทางแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้ดำเนินการต่อผู้ที่ให้ข่าวแล้วโดยการลดบทบาทในหน้าที่ที่รับผิดชอบ ส่วนในกรณีที่ชาวบ้านเกิดความไม่มั่นใจในความปลอดภัยนั้น ทางแม่ทัพภาคที่ 4 ยืนยันว่า ทางกองทัพไม่ส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่กระทำการนอกกฏหมายพวกที่ทำต้องถูกกฏหมายลงโทษแน่นอน ส่วนการนำทหารพรานชุดใหม่เข้ามาแทนชุดที่มีปัญหานั้น แม่ทัพของเวลาประเมินการทำงาน 1 เดือน หากยังไม่เป็นที่พอใจกับชาวบ้านก็จะให้ถอนกำลังออกทันที โดยการหารือครั้งนี้ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงบรรยากาศทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจมากขึ้น
พลโท อุดมชัย ธรรมสาโรรัช แม่ทัพภาคที่ 4 เปิดเผย ภายหลังการหารือว่า ตนได้นำสารจาก ผบ.ทบ.ฝากแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและฝากเงินช่วยเหลือบำรุงขวัญแก่ผู้ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ ส่วนการดำเนินการตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อชาวบ้านก็พอใจ
ในส่วนข้อมูลล่าสุดจากการผ่าชันสูจน์ศพผู้เสียชีวิตรายหนึ่งพบหัวกระสุนปืนลูกซอง หรืออาจจะมีหน่วยอื่นรวมอยู่ด้วยเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทหารพรานนั้น ที่เกิดเหตุมีกองกำลังทหารพราน ตำรวจและฝ่ายปกครอง ซึ่งในส่วนของกระสุนปืนลูกซองนั้นก็ต้องมีการพิสูจน์ทราบว่าจะเป็นของส่วนไหน ตนก็อยากให้เป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวน แต่ทั้งทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายปกครองไม่ได้ใช้ปืนลูกซองซึ่งต้องไปดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามให้รัฐชนกับประชาชนซึ่งต้องไปดูและต้องขยายผลต่อไปเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาหมองใจให้กับประชาชน
