ปัตตานี - “พรรคประชาธรรม” ใช้ความเป็นมลายูเป็นจุดขายช่วงโค้งสุดท้าย เคาะประตูชาวบ้านอยู่ในพื้นที่ถึง 4 ทุ่ม และเข้ามาบูรณาการแก้ปัญหาความไม่สงบ หวังพี่น้องใน 3 จังหวัดเทคะแนนให้ได้รับการเลือกตั้ง
วันนี้ (23 มิ.ย.) ที่ทำการพรรคประชาธรรมสาขาปัตตานี นายมูฮำมัด หะยีแวฮามะ ผู้สมัครเขตที่ 1 พรรคประชาธรรมได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว ว่า การหาเสียงของพรรคประชาธรรมในพื้นที่เขตเลือกตั้งนั้น เราใช้การเข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด เราไม่ใช้ระบบหัวคะแนน จึงไม่มีแนวคิดที่จะซื้อเสียงเพื่อให้มีเสียงในครั้งนี้อย่างแน่นอน และเรามั่นใจว่า พรรคเราจะต้องได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างแน่นอน เพราะเราได้อาสามาเป็นตัวแทนของพี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ พรรคเราเป็นพรรคเดียวที่เป็นพรรคที่มาจากคนในพื้นที่เรา มี นายมคตาร์ กีละ เป็นหน้าพรรค เรามีสมาชิกพรรคล้วนแต่เป็นคนในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นส่วนใหญ่
วันนี้การหาเสียงของพรรคเราได้ใช้เคาะประตูมัสยิดทุกแห่ง เพื่อสร้างความเข้าใจ และสร้างแรงความศรัทธาให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคและเป็นผู้ร่วมกำหนดนโยบายในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งทุกวันเราต้องเดินเคาะประตูมัสยิดเพื่อทำการปราศรัยให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เวลา 3-4 ทุ่มยังอยู่ในพื้นที่ ซึ่งอาจจะต่างกับการหาเสียงของพรรคการเมืองอื่น
มีหลายคนถามว่า ทำไมต้องตั้งพรรคเอง แล้วจะสู้ไหวไหม ความจริงการตั้งพรรคการเมืองในนามพรรคประชาธรรมในครั้งนี้ หวังเพื่อเป็นที่พึ่งของพี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ในการที่จะมีปากมีเสียง ต่อสู่ กับความไม่เป็นธรรมให้กับพี่น้องในพื้นที่ จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะ 7 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ที่สะเทือนใจพี่น้องในพื้นที่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์กรือเซะ เหตุการณ์ตากใบ เป็นต้น แต่กลับไม่มีนักการเมืองเข้ามาปกป้องสิทธิให้กับประชาชนได้แม้สักรายเดียว เพราะทุกคนถูกห้ามจากผู้ใหญ่ในพรรคใช่หรือไม่ แล้วในเมื่อประเทศนี้ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแล้วประชาชนออกมาชุมนุมเพื่อขอความเป็นธรรมทีหน้าสถานีตำรวจตากใบ เพียงแค่หกชั่วโมงต้องถูกยิงตายและถูกควบคุมตัวอีก 6 ชั่วโมงตายเพิ่มอีกเป็น 84 ศพที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร เรื่องในลักษณะนี้พรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกเข้ามายังไม่สามารถปกป้องได้ แล้วจะมาเป็นผู้แทนไปทำไม
นายมูฮำมัด หะยีแวฮามะ กล่าวต่อด้วยว่า สำหรับปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ก็เป็นเรื่องหนึ่งพรรคประชาธรรม พร้อมที่จะให้มีการเจรจาเพื่อให้สังคมที่นี่กลับสู่สันติสุขมาอีกครั้ง เราพร้อมที่จะมาเป็นคนกลางในการเจรจา เพราะเราไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง เราทำงานเป็นเครือข่ายตั้งภูมิภาคแห่งนี้ จะเห็นได้ว่าทำไม่ต้องขายความเป็นเชื้อชาติมลายูเป็นจุดขาย ในการหาเสียงเพื่อให้ได้มาการลงเสียงในครั้งนี้ ก็เพื่อให้สังคมรับรู้ว่าวันนี้ประเทศเราปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระประมุข ทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แม้จะนับถือศาสนาใดเชื้อชาติใดก็ตาม ในเมื่อที่นี่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายมลายู จึงไม่แปลกที่พรรคเราจะเอาความเป็นมลายูเป็นจุดขายในการหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย แต่เราไม่เคยทอดทิ้งพี่น้องที่มีเชื้อชาติอื่นแต่ประการใด เพราะพรรคประชาธรรมเรามี พหุวัฒนธรรมเป็นแนวทางอยู่แล้ว
และการเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคหวังจะต้องได้รับการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างแน่นอน แต่ถ้าแพ้ก็แพ้ เพราะการซื้อเสียงยังรุนแรงอยู่ ถึงอย่างไรพรรคประชาธรรมก็จะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป โดยพยายามเข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด และสร้างเครือข่ายให้ประชาชนมีส่วนในการกำหนดนโยบายให้ได้มากที่สุดนี่คือเป้าหมายในการตั้งพรรคประชาธรรม
“ต้องไม่ลืมว่าปัญหาของพี่น้องใน 3 จังหวัดภาคใต้ จะให้พี่น้องที่มาจากภาคอื่นนั้นมาแก้ แน่นอนมันแก้กันไม่ได้ เห็นไหม7 ปี ที่ผ่านมาปัญหาก็ยังคงเกิดขึ้น แม้วันนี้พรรคเราจะถูกมองว่าเป็นพรรคของแนวร่วมที่ก่อความไม่สงบในพื้นที่ นั้นเป็นเพราะคนเหล่านั้นไม่มีความเป็นนักประชาธิปไตย แต่ผมขอยืนยันว่า พรรคเราพร้อมเป็นคนกลางในการทำการเจรจากับทุกฝ่าย เพื่อให้ดินแดนแห่งนี้เกิดสันสุขและสงบสุขมาอีกครั้ง ถ้าพี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกเข้ามาเป็น ส.ส.ในครั้งนี้” ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธรรม กล่าวทิ้งท้าย