ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ปริมาณยางพาราวูบ เพราะภัยธรรมชาติ ไม่พอต่อความต้องการของตลาด แต่ทางบวกราคากลับดี ยืนพื้นกว่า 100 บาท/กก.มาเกือบ 4 ปี ยอดพุ่งมาตั้งแต่ปี 2551
วันนี้ (8 มิ.ย.) นายสุนันท์ นวลพรหมสกุล หัวหน้าสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอำเภอสะเดา (สกย.) สำนักงาน สกย.เขต 1 จ.สงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้ยางพาราเกิดโรคหน้าตายนึ่งระบาดไปทั่ว จึงขอแนะนำให้หยุดกรีดไปก่อน แล้วให้นำปุ๋ยอินทรีย์เข้าไปฟื้นฟู และไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมี เพราะจะระบาดหนักขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นมากที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนภาคใต้ตอนล่าง ยังไม่มากนัก ซึ่งส่วนนี้ได้ส่งกระทบต่อธุรกิจยางพารา เพราะยางพาราโรคหน้าตายนึ่ง จะไม่มีน้ำยาง และไม้ยางพารา ก็ไม่สามารถขายเป็นเกรดได้ ขายเป็นแต่เพียงไม้ฟืนได้เท่านั้น
“ตอนนี้ยางพารามีผลกระทบทางหนึ่ง คือ เกิดจากโรคตายนึ่ง อีกทางหนึ่งเกิดจากภาวะน้ำท่วม และภัยธรรมชาติฝนที่ตกไม่เป็นไปตามฤดูกาล จนไม่สามารถกรีดยางพาราได้ไม่เต็มตามกำหนด โดยบางเจ้าสามารถกรีดได้เพียง 150 กก. 180 กก.และ 200 กก./ปี และได้น้ำยาง ตั้งแต่ 240 กก./ปี 380 กก./ปี 440 กก./ปี 520 กก./ปี และ 605 กก./ปี ทั้งนี้ อยู่กับการบำรุงยางพารา และบางรายที่ให้น้ำยางมาก แสดงให้เห็นว่ามีการใส่สารตัวเร่ง ตามมาตรฐานอยู่ที่ 380-440 กก./ปี”
นายสุนันท์ กล่าวอีกว่า จากการที่ไม่สามารถกรีดยางพาราได้เต็มตามกำหนด เนื่องจากภาวะทางธรรมชาติ และโรคภัยยางพารา ทำให้ต้องสูญเสียจากตลาดไปในครึ่งปีแรกของปี 2554 ประมาณ 150,000 ตัน เป็นเงินมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท แต่อีกทางหนึ่ง คือจะทำให้ยางพาราราคาดีและแข็งขึ้นมาก
ทางด้าน นายสมจิตต์ ศิขรินมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ยางพาราตามปกติจะเข้าสู่ตลาดกลางยางพารา ประมาณ 200,000 ตัน/วัน แต่ในขณะนี้เข้าสู่ตลาดกลาง โดยยางแผ่นดิบประมาณ 50,000-60,000 ตัน/วัน และหากรวมกับยางรมควันแล้วประมาณ 100,000 ตัน/วัน ปัจจัยเพราะฤดูกาลแปรปรวน และผลกระทบกับน้ำท่วมหนัก ที่นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ที่ทำให้สวนยางพาราได้รับความเสียหาย ซึ่งทำให้ยางพาราหดหายไปจากเดิม
“แต่ก็มีมุมบวกอีกทางหนึ่ง คือทำให้ราคายางพาราดี เพราะมียางน้อยไม่พอกับความต้องการของตลาดจึงมีการแข่งขันกันซื้อ ยางพาราราคาได้รับที่ดีมาก และยางพาราราคาดีมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงขณะนี้”
วันนี้ (8 มิ.ย.) นายสุนันท์ นวลพรหมสกุล หัวหน้าสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางอำเภอสะเดา (สกย.) สำนักงาน สกย.เขต 1 จ.สงขลา เปิดเผยว่า ขณะนี้ยางพาราเกิดโรคหน้าตายนึ่งระบาดไปทั่ว จึงขอแนะนำให้หยุดกรีดไปก่อน แล้วให้นำปุ๋ยอินทรีย์เข้าไปฟื้นฟู และไม่ควรใส่ปุ๋ยเคมี เพราะจะระบาดหนักขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นมากที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วนภาคใต้ตอนล่าง ยังไม่มากนัก ซึ่งส่วนนี้ได้ส่งกระทบต่อธุรกิจยางพารา เพราะยางพาราโรคหน้าตายนึ่ง จะไม่มีน้ำยาง และไม้ยางพารา ก็ไม่สามารถขายเป็นเกรดได้ ขายเป็นแต่เพียงไม้ฟืนได้เท่านั้น
“ตอนนี้ยางพารามีผลกระทบทางหนึ่ง คือ เกิดจากโรคตายนึ่ง อีกทางหนึ่งเกิดจากภาวะน้ำท่วม และภัยธรรมชาติฝนที่ตกไม่เป็นไปตามฤดูกาล จนไม่สามารถกรีดยางพาราได้ไม่เต็มตามกำหนด โดยบางเจ้าสามารถกรีดได้เพียง 150 กก. 180 กก.และ 200 กก./ปี และได้น้ำยาง ตั้งแต่ 240 กก./ปี 380 กก./ปี 440 กก./ปี 520 กก./ปี และ 605 กก./ปี ทั้งนี้ อยู่กับการบำรุงยางพารา และบางรายที่ให้น้ำยางมาก แสดงให้เห็นว่ามีการใส่สารตัวเร่ง ตามมาตรฐานอยู่ที่ 380-440 กก./ปี”
นายสุนันท์ กล่าวอีกว่า จากการที่ไม่สามารถกรีดยางพาราได้เต็มตามกำหนด เนื่องจากภาวะทางธรรมชาติ และโรคภัยยางพารา ทำให้ต้องสูญเสียจากตลาดไปในครึ่งปีแรกของปี 2554 ประมาณ 150,000 ตัน เป็นเงินมูลค่าประมาณ 18,000 ล้านบาท แต่อีกทางหนึ่ง คือจะทำให้ยางพาราราคาดีและแข็งขึ้นมาก
ทางด้าน นายสมจิตต์ ศิขรินมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานตลาดกลางยางพาราหาดใหญ่ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ยางพาราตามปกติจะเข้าสู่ตลาดกลางยางพารา ประมาณ 200,000 ตัน/วัน แต่ในขณะนี้เข้าสู่ตลาดกลาง โดยยางแผ่นดิบประมาณ 50,000-60,000 ตัน/วัน และหากรวมกับยางรมควันแล้วประมาณ 100,000 ตัน/วัน ปัจจัยเพราะฤดูกาลแปรปรวน และผลกระทบกับน้ำท่วมหนัก ที่นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ที่ทำให้สวนยางพาราได้รับความเสียหาย ซึ่งทำให้ยางพาราหดหายไปจากเดิม
“แต่ก็มีมุมบวกอีกทางหนึ่ง คือทำให้ราคายางพาราดี เพราะมียางน้อยไม่พอกับความต้องการของตลาดจึงมีการแข่งขันกันซื้อ ยางพาราราคาได้รับที่ดีมาก และยางพาราราคาดีมาตั้งแต่ปี 2551 จนถึงขณะนี้”