นครศรีธรรมราช - สถานการณ์น้ำท่วมของ จ.นครศรีธรรมราช ยังไม่คลี่คลาย เมื่อน้ำได้ไหลท่วมบ้านซ้ำเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ทำให้โรงพยาบาลต้องปิดให้บริการ และยังมีผู้สูญหายเป็นจำนวนมาก ส่วนยอดผู้เสียชีวิตซึ่งยังไม่หยุดนิ่งนั้นพุ่ง 15 ศพแล้ว พื้นที่เกษตรเสียหาย 500,000 ไร่ และมีผู้ประสบภัยเฉียด 300,000 คน
วันนี้ (31 มี.ค.) นายธีระ มินทราศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวสรุปความเสียหายในจังหวัดนครศรีธรรมราชจากกรณีประสบภัยน้ำท่วมว่า ขณะนี้ได้ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติแล้วครบแล้วทั้ง 23 อำเภอ รวมกว่า 159 ตำบล 1,285 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 89,351 ครอบครัว 285,000 คน มีการอพยพประชาชน 7,372 คน พบมีผู้เสียชีวิต15 ราย ซึ่งกำลังตรวจสอบยอดที่ชัดเจน และพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย 5 แสนไร่ มูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราชทุกตรอกซอกซอยน้ำท่วมระดับสูงประมาณ 1-2 เมตร ต้องจมใต้บาดาลทั้งเมือง และที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช ระดับน้ำได้ไหลบ่าเข้าท่วมในระดับความสูงประมาณ 1-2 เมตร ตั้งแต่เมื่อวานนี้ และระดับน้ำจากคลองคูพายได้ไหลบ่าเข้าท่วมสูงขึ้นเรื่อยๆ แพทย์และพยาบาลได้อพยพคนป่วยและเครื่องมือการแพทย์และเวชภัณฑ์ยาขึ้นที่สูงไปอยู่ในที่ปลอดภัยอย่างทุลักทุเล และถนนสายพัฒนาการคูขวาง ซึ่งเป็นถนนสายธุรกิจหลักของจ.นครศรีธรรมราช ถูกน้ำท่วมสูงระดับเกือบ 1 เมตร วิ่งได้เฉพาะรถกระบะและรถยกสูงเท่านั้น
ส่วนบรรยากาศหลายพื้นที่ของนครศรีธรรมราช ยังเต็มไปด้วยความสับสนเนื่องจากความเดือดร้อนจากสถานการณ์ ขณะที่ฝนได้หยุดตกตั้งเที่ยงคืนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มอยู่ตลอดเวลา และมีฝนเริ่มโปรยปรายมาตั้งแต่เวลา 14.00 น.ของวันเดียวกัน
ในขณะที่ระดับน้ำหลายจุดยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะตัวเมืองนครศรีธรรมราชฝั่งตะวันออก และพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังทั้ง 4 อำเภอริมชายฝั่งทะเล การระบายน้ำเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากอุปสรรคสำคัญคือน้ำทะเลหนุนประกอบกับน้ำจากเทือกเขาหลวงจำนวนมหาศาลที่ถ่ายเทลงมาอย่างต่อเนื่องผ่านตัวเมืองชั้นกลาง
นบพิตำถูกตัดขาด ฮ.เสี่ยงบินหย่อนของช่วยบรรเทาทุกข์
แม้พื้นที่ประสบภัยจะเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่สถานการณ์รุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ อ.นบพิตำ หลายตำบลถนนและสะพานขาดหลายแห่ง เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของเรือกสวนต่างๆ รวมทั้งสะพานกลายบริเวณท้องที่ อ.นบพิตำก็ถุกกระแสน้ำป่าพัดขาดสัญจรไปมาไม่ได้ การเดินทางเข้าไปเต็มไปด้วยความยากลำบากต้องเดินเท้า
โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดส่งชุดเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นกำลังผสมระหว่างตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และชุดอส.เดินเท้าเข้าไปในพื้นที่ โดยขณะนี้ได้ไปถึงบริเวณม.7 ต.กรุงชิง ได้ตั้งจุดสื่อสาร “กอ.ร่วมกรุงชิง” เป็นศูนย์กลางประสานงานในพื้นที่ ขณะเดียวกันกองทัพภาคที่ 4 ได้จัดนักบินเฮลิคอปเตอร์ระดับแนวหน้าของกองทัพบก บินเฮลิคอปเตอร์ไปหย่อนของลงในพื้นที่ต่าง ที่มีการรวมตัวกันของชาวบ้าน โดยมีรายงานว่าภูเขาถล่มและมีบ้านเรือนพังในหลายจุด
พล.ต.เดชา กิ่งวงศา รองแม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมด้วย พ.อ.สมชาย ภุมรินทร์ รองเสนาธิการ ทภ.4 ได้นำกำลังทหารชุดค้นหากู้ภัยจากหน่วยร้อยฝึกรบพิเศษที่ 4 อ.สิชล จำนวน 30 นาย พร้อมอุปกรณ์เครื่องสนามครบชุดและวิทยุสื่อสารเดินลุยเท้าฝ่าสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างหนักและลุยข้ามคลองกลายที่สะพานขาดหลายจุด และลุยข้ามถนนที่เส้นทางขาดหลายจุดร่วมกับกำลังหน่วยกู้ภัยของปกครองของ ผวจ.นครศรีธรรมราช และชาวบ้านในพื้นที่ที่ชำนาญทางลุยขึ้นไปภูเขาไม้ไผ่ จำนวน 9 หมู่บ้านของ ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช เนื่องจากได้รับรายงานว่าในพื้นที่ดังกล่าว มีชาวบ้านและคนงานเหมืองแร่ติดอยู่จำนวนกว่า100 คน
ล่าสุดมีรายงานแจ้งว่าเกิดเหตุดินภูเขาสไลด์ ยังไม่ทราบชะตากรรมของราษฎรทั้ง 9 หมู่บ้านกว่าร้อยชีวิต เนื่องจากไม่สามารถติดต่อได้เนื่องจากไฟฟ้าดับ และไม่สามารถสื่อสารกันได้ทั้งทางโทรศัพท์และวิทยุ โดยเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวจะขึ้นไปตั้งศูนย์วิทยุสื่อสารให้สำเร็จเพื่อวิทยุสื่อสารติดต่อประสานงานลงมาด้านล่างเพื่อส่ง ฮ.บินขึ้นไปหย่อนเสบียงอาหารให้กับราษฎรที่ติดอยู่บนภูเขาลูกดังกล่าวแต่ยังไม่ทราบชะตากรรม
พ่อแม่ลูกถูกกระแสโคลน-น้ำป่าพัดสูญหายทั้งครัว-พบศพแม่แล้ว
ในช่วงสายของวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้มีการรายงานว่า พบศพทราบชื่อคือ นางสมใจ รัตนแก้ว อายุ 42 ปีอยู่ 150/8 ม.2 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ สภาพศพติดค้างกับซากเศษไม้ ในบริเวณใกล้เคียงกับบ้าน ส่วนบุตรสาวคือ ด.ญ.เสาวรักษณ์ วโรรส อายุ 12 ปี และบิดานายสุมิตร วโรรส อายุ 43 ปี ยังไม่ทราบชะตากรรม รวมทั้งอีกหลายจุดบนพื้นที่ที่มีเหตุการณ์ภูเขาถล่ม
โดยเฉพาะใน ม.2 บ้านหวายช่อ เจ้าหน้าที่ทหารและ อส.ต้องเดินเท้าจากม.7 ต.นบพิตำ ซึ่งเป็นศูนย์อำนวยการสื่อสารร่วม เข้าไปตรวจสอบยังไม่ทราบชะตากรรมของคนในหมู่บ้านนี้ และหลายจุดไม่มีอาหารการกินผู้ชายในหมู่บ้านต้องพยายามหาของป่า เช่น มันป่า หรือของป่าที่กินได้มาประทังชีวิต ขณะเดียวกันในหลายอำเภอเช่น อ.เมือง อ.พรหมคีรี อ.ลานสกา มีภูเขาถล่มลงมาอีกหลายจุดตลอดทั้งคืน แต่ยังไม่สามารถตรวจสอบความเสียหายได้ เช่นที่ อ.เมือง ภูเขามหาชัยได้ถล่มทับบ้าน แต่เจ้าของบ้านได้วิ่งหลบหนีได้อย่างหวุดหวิด
ขณะที่พื้นที่ลุ่มน้ำตาปี ประกอบด้วย อ.พิปูน ฉวาง ถ้ำพรรณรา และ อ.ทุ่งใหญ่ ระดับน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 50 ปี แม้กระทั้งในในปี 2531 น้ำที่ท่วมก็ไม่สูงเหมือนในครั้งนี้ โดยหลายฝ่ายหวั่นวิตกกันว่า หากสถานการณ์เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นหากฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องทั้งระดับน้ำและภูเขาถล่มในช่วงเวลากลางคืน คงจะทำให้การดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันระดับน้ำในพื้นที่ได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำที่ถูกระบายออกจากอ่างเก็บน้ำในอ่างกะทูนอ่างคลองดินแดง ใน อ.ปูนมีระดับน้ำระบายผ่านอาคารระบายน้ำและสปริงเวย์อยู่ตลอดเวลาเนื่องจากอ่างเต็มความจุแล้ว
พบศพแม่เฒ่าญาติสนิท “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล” ส.ส.ปชป.ภูเขาถล่ม
เมื่อเวลาหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้เข้าเดินทางเข้าตรวจสอบพื้นที่ ม.12 ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล เนื่องจากพบว่ามีภูเขาถล่มเป็นบริเวณกว้าง โดยพบว่าดินโคลนจากภูเขาได้ถล่มทับบ้านเลขที่ 70/1 ม.12 ต.ทุ่งปรัง จนพังยับเยิน ภายในนั้นได้กู้ศพทราบชื่อต่อมาคือนางย้วน วิชัยกุล อายุ 71 ปี เจ้าของบ้าน เสียชีวิตอย่างน่าสลด
สำหรับนางย้วน เป็นญาติสนิทของนายมาโนชย์ วิชัยกุล อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช คนปัจจุบัน โดยขณะนี้น.ส.พิมพ์ภัทราทราบเรื่องแล้วแต่ยังติดประชุมสภา และจะเดินทางลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน
ขณะเดียวกันความเสียหายระดับน้ำในพื้นที่หลายจุดโดยเฉพาะ ต.เสาเภา สูงมากในหลายหมู่บ้าน บางหมู่บ้านมิดหลังคาชั้นสอง ถนนสายนครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานี เป็นอัมพาตไม่สามารถสัญจรไปมาได้เพราะมีน้ำท่วมบนถนนระดับสูง 1-2 เมตรหลายจุด โดยเฉพาะในเขต อ.ท่าศาลา อ.สิชล น้ำท่วมถนนสูงหลายจุด ทางเจ้าหน้าที่แขวงการทางต้องนำแผงมากั้นไม่ให้รถผ่านเป็นระยะๆ ทำให้ทั่วทั้งจังหวัดเต็มไปด้วยความสับสนจากเหตุการณ์นี้ขณะเดียวกันมียอดผู้เสียชีวิตสะสมแล้วร่วม 15ราย
รพ.ท่าศาลาอ่วมซ้ำหลังนายกฯกลับมิดถึงคอปิดบริการ
สำหรับที่โรงพยาบาลท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังและตรวจความหายที่ รพ.เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.ของวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมาปรากฏว่าหลังจากที่นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ กระแสน้ำได้ทะลักเข้าท่วมอีกครั้งและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลา 12.00 น.ของวันที่ 31มี.ค.ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร บางจุดมิดศีรษะ ท่วมสูงจนพ้นถนนนครศรีธรรมราช-สุราษฎร์ธานีจนต้องปิดการจราจร ทำให้แพทย์พยาบาลต้องหยุดให้บริการอย่างสิ้นเชิงหลังจากเปิดบริการมาได้เพียง20-30 เปอร์เซ็นเพียงไม่ถึง 24 ชั่วโมง
นพ.กิตติ รัตนสมบัติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าศาลา เปิดเผยว่า ได้เปิดบริการเพียงไม่ถึง 24 ชม.ดีว่าเปิดไม่เต็มอัตรา หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจุดที่นายกรัฐมนตรีมานั้นสูงในระดับสะเอว ระบบห้องทำฟันที่กำลังซ่อมเมื่อวานนี้เสียหายทั้งหมดอีกแล้ว ช่างต่อเริ่มนับ 1 ใหม่ ตอนนี้จึงปิดร้อยเปอร์เซ็นอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติส่วนผู้ป่วยนั้นต้องขออภัยในความไม่สะดวก จำเป็นที่จะต้องเดินทางไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลสิชล และมหาราช นครศรีธรรมราช หรือ โรงพยาบาลค่ายวชิราวุธก่อน
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช น้ำได้ทะลักเข้าท่วมในช่วงดึก เจ้าหน้าที่ต้องระดเมกำลังขนกระสอบทรายทำแนวกั้นน้ำอย่างต่อเนื่องแต่เดชะบุญที่ฝนหยุดตก น้ำได้ลดระดับลงรอดพ้นน้ำท่วม รพ.ได้อย่างหวิดหวิด
ชาวบ้านท่าศาลาโบกรถขอดูสมรรถนะหากขับรอดจากจุดน้ำท่วมสูง
ที่ บ้านคลองเคย ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ผู้สื่อข่าวรายงานว่าได้มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งมายืนดักโบกรถ โดยเฉพาะรถยนต์กระบะที่สามารถขับผ่านบริเวณน้ำท่วมตัดผ่านถนนสูง และหากขับผ่านไปได้ชาวบ้านจะยืนโบกให้ผู้ขับขี่จอด และขอดูภายในรถเพื่อที่จะดูว่ามีน้ำไหลเข้าไปในรถหรือไม่ และสอบถามผู้ขับขี่ถึงสมรรถนะ บอกว่าเตรียมที่จะซื้อรถประเภทลุยน้ำได้ทุกพื้นที่จึงมาขอดูก่อนตัดสินใจซื้อ ทำให้ผู้ขับขี่หลายคนที่ขับผ่านจุดดังกล่าวต่างผ่อนคลายความเครียด ในขณะที่หากรถใดผ่านไปแล้วเครื่องดับชาวบ้านกลุ่มนี้จะมาช่วยเข็นออกไป โดยบอกว่าจะไม่ซื้อรุ่นที่ขับผ่านน้ำท่วมแล้วไปต่อไม่ได้เครื่องยนต์ดับ
จระเข้ยังพล่านทั่วเมืองล่าสุดโผล่ตากอากาศบนหลังคาบ้าน
เมื่อเวลา 11.00 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งว่าพบจระเข้ตัวเขื่องขึ้นไปนอนตากอากาศอยู่บนหลังคาบ้านในชุมชนบ่อทรัพย์ ริมถนนศรีธรรมราช ที่ถูกท่วมสูงกว่าสองเมตร บางจุดมิดหลังคาโดยได้ไปนอนตากอากาศอยู่บนหลังคาบ้านของนายสถาพร โสภิณ ชาวบ้านในชุมชนดังกล่าว
นายสถาพร เจ้าของบ้านเปิดเผยว่า ขณะที่ตนกำลังนั่งอยู่บนชั้น 2 ภายในบ้านได้ยินเสียงไก่ร้องดังผิดปกติ จึงรีบมาดูที่หน้าต่างพบจระเข้ตัวหนึ่งนอนบนหลังคาบ้านใกล้กับสุนัขซึ่งหนีน้ำท่วมมานอนอยู่บนหลังคาเดียวกัน เมื่อเห็นจึงตะโกนให้เพื่อนที่มีอาวุธปืนยิงใส่เข้าบริเวณปาก 1 นัดซึ่งจระเข้ตัวดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ แต่กระโจนลงน้ำหลบหนีไปได้
หลังจากทราบข่าวชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณชุมชนต่างก็ทยอยนำลูกหลาน เด็กขึ้นมาอาศัยอยู่บนถนนและไม่กล้าลงไปเล่นน้ำอีก นอกจากนั้นยังพบว่ามีการพบเห็นจระเข้อีกหลายจุดอย่างต่อเนื่อง เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปค้นหาด้วยสภาพที่น้ำท่วมสูงทำให้จระเข้หนีไปอย่างรวดเร็วยากต่อการจับกุม โดยหลังจากนี้หากพบเห็นเจ้าหน้าที่จะใช้อาวุธปืนยิงทันที
ทุ่งสงงานศพป่วนโลงถูกน้ำซัดไล่ตะครุบกลับมาวุ่น
หลังจากที่น้ำป่าและน้ำฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตาหลากท่วมเมืองทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช อย่างหนักหลังจากฝนหยุดตกน้ำที่ท่วมตัวเมืองทุ่งสงได้ไหลหลากเข้าไปท่วมในพื้นที่ ต.กะปาง,ต.ที่วัง,และ ต.เขาโร อ.ทุ่งสง เป็นพื้นที่บริเวณกว้างระดับน้ำสูงกว่า 2 เมตร ถนนในหมู่บ้านถูกตัดขาดหลายสายสะพานขาด
ปรากฏว่าขณะที่บ้านเลขที่ 83 หมู่ที่ 4 ต.กะปาง อ.ทุ่งสง กำลังมีการจัดงานบำเพ็ญกุศลศพ นายณรงค์ มะลิคุณ อายุ 37 ปี ซึ่งป่วยเสียชีวิต โดยปรากฏว่าน้ำที่ไหลหลากจากตัวเมืองทุ่งสงได้หลากเข้าท่วมบริเวณพื้นบ้าน และที่จัดตั้งบำเพ็ญกุศลศพอย่างรวดเร็วระดับน้ำสูงและไหลเชี่ยว ทำให้โลงศพที่บรรจุร่างของนายณรงค์และสิ่งของเครื่องใช้ในงานศพลอยไปตามน้ำ สร้างความตกใจกับบรรดาญาติๆ ที่อยู่ในงานศพเป็นอย่างมาก ต่างพากันวิ่งและเดินฝ่ากระแสน้ำไล่ตามโลงศพ ญาติและเจ้าภาพได้ช่วยกันไล่กันจับโลงศพกันอย่างทุลักทุเล กว่าจะช่วยกันยึดจับโลงและสิ่งของเครื่องใช้กันอย่างจ้าละหวั่นก่อนช่วยกันเคลื่อนย้ายงานศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลในที่สูง
ชลประทานเตรียมเร่งระบายน้ำระดมเครื่องสูบลงนครศรีฯ
นายวีระ วงศ์แสงนาค รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวถึงการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ว่า วันนี้กรมชลประทานได้จัดทีมนักวิชาการลงพื้นที่ประเมินสถานการณ์น้ำตกค้าง ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเล ส่วนการป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว จะทบทวนสภาพลุ่มน้ำทั้งหมด ซึ่งได้มีการศึกษาเบื้องต้นไว้แล้ว แต่ไม่ได้นำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง ซึ่งปัจจุบันสภาพลุ่มน้ำเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงต้องนำผลวิจัยทั้งลุ่มน้ำย่อยและลุ่มน้ำหลักมาทบทวนอีกครั้ง เพื่อหาแนวทางป้องกันหากฝนที่ตกในปริมาณมากเหมือนปัจจุบัน
สำหรับปริมาณน้ำที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังคงมีปริมาณมาก แต่สามารถระบายออกสู่ทะเลทางลุ่มน้ำปากพนัง วันละ 80 ล้านลูกบาศ์กเมตร ส่วนลำน้ำสายย่อยที่ไหลลงสู่ทะเลโดยตรง ยังคงระบายน้ำได้ดี ซึ่งกรมชลประทานได้เตรียมส่งเครื่องสูบน้ำ 50 เครื่อง ไประบายที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ จะระดมนำเครื่องสูบน้ำจากจังหวัดสงขลาอีก 50 เครื่อง มาประจำที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อช่วยระบายน้ำออกทันทีที่ฝนหยุดตก