กระบี่ - เจ้าหน้าที่ป่าไม้สนธิกำลัง ตำรวจ ทหาร เข้ารื้อผลอาสินในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาพนมเบญจา ม.5 ต.ทับปริก รวมเนื้อที่ 42 ไร่ ทำลายปาล์มน้ำมันและยางพารารวมกว่า 1,400 ต้น พร้อมทั้งนำพันธุ์ไม้ยืนต้นมาปลูกทนแทนกว่า 2,000 ต้น เพื่อฟื้นฟูสภาพป่าป้องกันบุกรุก เผยในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีการยึดพื้นที่คืนและรื้อถอนอาสินแล้วเกือบ 200 ไร่
เมื่อเวลา 13.00 น.วันนี้ (17 ก.พ.) นายเผชิญ โมฬี ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ นายวัชรา แก้วสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและรักษาป่าที่ กบ.1, 2, 5 และ 9 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 426 กระบี่ และทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 คลองท่อม รวมทั้งหมดจำนวนกว่า 60 นาย เข้ารื้อถอนผลอาสิน ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าเขาพนมเบญจา ท้องที่หมู่ที่ 5 ต.ทับปริก อ.เมือง จ.กระบี่ รวมเนื้อที่ 42 ไร่
โดยเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังออกทำการตัดโค่นต้นปาล์มน้ำมันที่นายทุนบุกรุกปลูกในพื้นที่ อายุประมาณ 2-3 ปี กว่า 600 ต้น จากนั้นก็เทน้ำยาฆ่าตอลงไปที่โคนต้น เพื่อให้ต้นปาล์มตาย โดยจะใช้ระยะเวลาประมาณ 7 วัน นอกจากนี้ยังพบต้นยางพาราอายุ ประมาณ 2 ปีปลูกในพื้นที่อีกจำนวนกว่า 700 ต้น เจ้าหน้าที่จึงได้รื้อถอนทำลายเช่นกัน
หลังจากนั้น ทางองค์การบริหารส่วนตำบลทับปริก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน พร้อมด้วยนักเรียนจากโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัยกว่า 100 คน ได้ร่วมกันนำพันธุ์ไม้ประกอบด้วย ต้นตะเคียนทอง ต้นกฤษนา สนประดิพัทธ์ รวมกว่า 2,000 ต้น มาปลูกในพื้นที่เพื่อฟื้นฟูสภาพป่า หลังยึดพื้นที่คืนเพื่อป้องกันการบุกรุกเพิ่มเติม
นายเผชิญ โมฬี ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ กล่าวว่า พื้นที่ดังกล่าวได้มีการจับกุมดำเนินคดีและตรวจยึดพื้นที่ไว้เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2553 หลังจากนั้นก็ได้มีการประกาศตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ครบ 2 ครั้งแล้ว คือ ครั้งแรก 30 วัน ครั้งที่สอง 15 วัน ผลผปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดมาคัดค้านจึงได้สนธิกำลังเข้าทำลายอาสินทั้งหมด พร้อมทั้งดำเนินการฟื้นฟูโดยการปลูกต้นไม้ทนแล้ง เช่น ตะเคียนทอง ต้นสน เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข้าบุกรุกซ้ำ
และในรอบที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้มีการดำเนินการยึดพื้นที่บุกรุกในเขตป่าสงวนแห่งชาติคืนรื้อถอนตามมาตรา 25 รวมเนื้อที่ทั้งหมด 190 ไร่ และยังเหลืออีกว่า 50 ไร่ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการประกาศตามมาตรา 25 ต่อไป