ตรัง - 2 ลูกชายกตัญญูชาวตรัง ร่วมสร้างประติมากรรมมัมมี่ นำร่างของพ่อมาปั้นไว้บริเวณศาลาข้างบ้าน และนำของร่างแม่มาฝังไว้ใกล้ๆ ล่าสุด เตรียมนำกระดูกพี่ชายคนโตมาปั้นด้วย
วันนี้ (9 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดตรัง พร้อมด้วย นายเสริฐ ทองย้อย นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ไม้ฝาด และอดีตกำนันตำบลไม้ฝาด ได้เดินทางไปยังบริเวณบ้านเลขที่ 107 หมู่ที่ 1 ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 14 ไร่ เพื่อชมประติมากรรมเลื่องชื่อชิ้นหนึ่ง อันเป็นที่โจษขานไปทั่วทั้งหมู่บ้าน และสร้างขึ้นมาด้วยความกตัญญูของลูกชาย 2 คน ด้วยการนำปูนปั้นมาห่อหุ้มศพผู้เป็นพ่อเอาไว้ เหมือนกับมัมมี่ ของชาวอียิปต์ เพื่อเก็บรักษาร่างให้อยู่กับครอบครัวตลอดไป นับตั้งแต่เมื่อปี 2539 หรือเมื่อ 14 ปีมาแล้ว
ทั้งนี้ บ้านหลังดังกล่าวในปัจจุบัน มีเพียง นายวิพัฒน์ หนูเมือง อายุ 49 ปี ลูกชายคนที่ 6 ของครอบครัว หนึ่งในนักประติมากรรม อาศัยอยู่เพียงลำพัง ส่วนที่บริเวณข้างบ้าน จะพบเห็นศาลากตัญญู ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ โดยด้านซ้ายสุด จะเป็นปูนปั้นชายชรา ขนาดเท่าตัวคนจริง ซึ่งก็คือ คุณพ่อเวียง หนูเมือง ในท่านั่งขัดสมาธิอยู่ภายในตู้กระจกใส โดยฝีมือของ นายชำนาญ ลูกชายคนโต และอดีตผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ตำบลไม้ฝาด ที่ขณะนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว กับ นายวิพัฒน์ ด้วยการนำร่างของพ่อผู้เสียชีวิต มาห่อหุ้มด้วยปูนซีเมนต์ ก่อนนำทองคำเปลวมาห่อหุ้มศพเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง แล้วใช้สีน้ำอะคริลิก สีดำมาเททับลงไป เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความอับชื้น
สำหรับศาลาหลังดังกล่าวนี้ เดิมทีจะมีขนาดกว้าง 1.5 เมตร ยาว 2.0 เมตร แต่ต่อมาได้มีการต่อเติมให้ใหญ่ขึ้น เป็นขนาดกว้าง 1.5 เมตร ยาว 4.0 เมตร อันเป็นไปตามความประสงค์ของ 2 ลูกชาย ที่ต้องการขยายศาลาออกไปให้กว้างขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บศพของ คุณแม่เอื้อน หนูเมือง ผู้เป็นแม่ ที่ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2548 เนื่องจากได้สั่งไว้ก่อนที่จะจากไปว่า ขอนอนตายอยู่ใกล้ๆ กับสามีที่บ้านแห่งนี้ โดย 2 ลูกชายได้ใช้วิธีการนำศพของผู้เป็นแม่มาฝังเอาไว้ทางด้านขวาของศาลา พร้อมนำภาพถ่าย และดอกไม้ธูปเทียน มาวางไว้ด้านหน้า เพื่อทำการกราบไหว้อันแสดงถึงความเคารพบูชา
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว นายชำนาญ ลูกชายคนโต หนึ่งในนักประติมากรรม ก็มาเสียชีวิตลง ดังนั้น นายวิพัฒน์ น้องชาย จึงตัดสินใจต่อเติมศาลาออกไปให้ใหญ่ขึ้นอีก เป็นขนาดกว้าง 1.5 เมตร ยาว 8.0 เมตร พร้อมกับปั้นปูนหล่อพี่ชายขนาดเท่าตัวจริง ในท่านั่งคุกเข่าพนมมือ และสวมใส่ชุดเครื่องแบบกากี ในตำแหน่งผู้ใหญ่เต็มยศ โดยมาตั้งวางไว้ทางด้านขวาสุดของศาลา และให้ศพของ คุณแม่เอื้อน ผู้เป็นแม่ ตั้งวางอยู่ตรงกลาง แต่กรณีของศพ นายชำนาญ ลูกชายคนโต นั้นได้ถูกนำไปฌาปนกิจศพ หรือเผาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอจังหวะที่เหมาะสม เพื่อนำกระดูกมาบรรจุลงไปในปูนหล่อ
นายเสริฐ ทองย้อย นายก อบต.ไม้ฝาด และอดีตกำนันตำบลไม้ฝาด กล่าวว่า นายชำนาญ ลูกชายคนโต หนึ่งในนักประติมากรรม เคยทำงานร่วมกับตนมาหลายปี สมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน แต่ชาวบ้านทั่วไปมักจะเรียกกันว่า หมอนาญ เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีความเชื่อทางพราหมณ์ และทางไสยศาสตร์ ซึ่งการทำที่เขานำศพของพ่อแม่มาทำประติมากรรมเช่นนี้ สมัยเมื่อปี 2539 ทั้งตนเองและชาวบ้านก็เคยมีการทักท้วง และอยากให้นำไปกระทำพิธีทางศาสนามากกว่า แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันที่จะทำเช่นนี้ จึงได้ลงมือปั้นศพแบบสดๆ และในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่มีการนำยาฉีดศพมาใช้ด้วย ทำให้มีน้ำเหลืองไหลออกมา และมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปี และล่าสุด ศพก็ไม่มีกลิ่นเหม็นใดๆ ออกมาอีกแล้ว ขณะที่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงก็ไม่เกิดปัญหาความเดือดร้อน จึงถือเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลที่คงไปห้ามไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของวิญญาณ ไม่ได้เป็นไปตามหลักวิชาการ แต่ในอนาคตถ้าหากบ้านใดในพื้นที่ตำบลไม้ฝาดจะกระทำเช่นนี้อีก ทาง อบต.ก็คงจำเป็นที่จะต้องนำไปพิจารณาในเรื่องข้อกฎหมาย เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาร้องเรียนกันเหมือนเมื่อครั้งอดีต อีกทั้งโดยส่วนตัวก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยต่อการกระทำเช่นนี้ และอยากให้การแสดงออกซึ่งความกตัญญูเป็นไปตามหลักพุทธศาสนา โดยเฉพาะในช่วงที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ มากกว่าตอนที่ท่านจากไปแล้ว
นายสุรไกร ชัยณรงค์ อายุ 48 ปี เพื่อนบ้านใกล้เคียง กล่าวว่า ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาตนก็ไม่เคยเจอปัญหาเรื่องภูติผีวิญญาณ เช่นเดียวกับชาวบ้านอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้ หรือต้องออกไปกรีดยางพาราในสวนใกล้กับศาลากตัญญูช่วงเวลากลางคืน ขนาดตนเองมีอยู่บ่อยครั้งที่ต้องออกมานอกบ้านยามดึกดื่น และทุกครั้งที่เดินผ่านรูปปั้นก็ไม่เคยพบเห็นอะไรผิดปกติเลย หรือเกิดความรู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพราะมองว่ารูปปั้นก็คือรูปปั้น ที่ทำไว้บูชาเหมือนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป ส่วนกรณีที่ครอบครัวหนูเมือง นำศพพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดมากระทำเช่นนี้ ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคลที่จะแสดงออกในเรื่องของความกตัญญู