ตรัง - อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง กลายเป็นทำเลทองแห่งใหม่ ในการบุกรุกแผ้วถางป่าเพื่อทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยว และทำการเกษตร แฉโยงใยเป็นขบวนการใหญ่จนยากที่จะแก้ไขโดยง่าย
วันนี้ (28 ต.ค.) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตรัง รายงานว่า ปัจจุบันจังหวัดตรังมีพื้นที่ป่าไม้ รวมทั้งหมดประมาณ 700,000 ไร่ โดยมีการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าปีละประมาณ 2,000 ไร่ และมีการจับกุมผู้ต้องหาได้ปีละ 40-50 คน พร้อมกับมีแนวโน้มการบุกรุกลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วกลับพบข่าวคราวการเข้าไปจับกุม หรือเข้าไปตรวจยึดพื้นที่ป่าไม้ที่สำคัญๆ อยู่เป็นประจำ อีกทั้งในบางครั้งก็ยังพบการบุกรุกเป็นจำนวนมากนับ 100 ไร่ด้วย โดยเฉพาะในอำเภอที่ติดต่อกับเทือกเขาบรรทัด และในอำเภอที่อยู่มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลตั้งอยู่ อย่างเช่นอำเภอสิเกา ซึ่งล่าสุดได้มีการจับกุมนายพันทหารกองทัพภาคที่ 4 และนักธุรกิจรีสอร์ทชื่อดัง เพื่อทำสวนปาล์มน้ำมัน และก่อสร้างรีสอร์ทขนาดใหญ่
สำหรับการที่อำเภอสิเกา กำลังเป็นที่หมายปองทั้งของกลุ่มนายทุน และกลุ่มชาวบ้านมากขึ้น เนื่องจากเป็นพื้นที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติและระบบนิเวศน์วิทยา โดยมีทั้งป่าบก ป่าชายเลน สัตว์ทะเล เกาะแก่ง และชายหาด ที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ จึงเหมาะต่อการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดตรัง ฉะนั้น ผืนดินทุกตารางเมตรจึงมีความสำคัญและเป็นเงินเป็นทอง แต่เนื่องจากส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง และป่าสงวนแห่งชาติ ป่าสายคลอง-ร่มเมือง ป่าสายควน ป่าเกาะอ้ายกลิ้ง ป่าสายควนหละ ป่าเขาหวาง ป่าควนแดง และป่าน้ำราบ ซึ่งการที่จะได้ทำเลที่สวยงามเหล่านี้เข้ามาครอบครองจึงมีวิธีการเดียวก็คือ การบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า
อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ หาดเจ้าไหมคนหนึ่ง บอกว่า ปัญหาการบุกรุกป่ามีมานานแล้ว โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2524 เป็นต้นมา ซึ่งได้มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ปรากฎว่า เกิดปัญหาทับซ้อนกับพื้นที่ชาวบ้านที่อ้างว่าอยู่มาก่อนหน้านั้น แม้ว่าหลายฝ่ายจะพยายามหาหนทางแก้ไขปัญหา แต่ทุกอย่างก็ยังไม่ได้ข้อยุติและยืดเยื้อเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังเจ้าหน้าที่มีน้อย ขณะที่พื้นที่ป่าไม้ที่ต้องรับผิดชอบกว้างใหญ่ไพศาลมาก ขณะที่เครื่องไม้เครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องตรวจวัดพิกัด หรือแนวเขต ก็ขาดแคลน เมื่อจับกุมชาวบ้านแล้วเกิดการโต้แย้งกันขึ้น จึงไม่อาจที่จะทำอะไรได้มากนัก และสุ่มเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่จะถูกฟ้องร้องกลับ เพราะหลักฐานมัดตัวไม่ชัดเจน
นอกจากนั้น ยังเกิดมาจากปัญหาการปรับเปลี่ยนหัวหน้าหน่วยงานป่าไม้ ที่บางคนมาดำรงตำแหน่งได้เพียงแค่ไม่กี่เดือน ก็ต้องถูกโยกย้ายออกไปแล้ว ทำให้การแก้ไขปัญหาบุกรุกป่าไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในอำเภอสิเกา ขณะนี้ยังไม่ถือว่าอยู่ในระดับรุนแรง และยังพอมีหนทางที่จะเยียวยาแก้ไขได้ แต่สิ่งที่น่าห่วงก็คือ ทิศทางการบุกรุกป่าที่เปลี่ยนไป จากที่เดิมทีที่จะเป็นเพียงแค่ชาวบ้าน และต้องการแค่ที่ทำกินเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายมาเป็นการบุกรุกโดยกลุ่มชาวบ้าน ที่บางครั้งก็มีนายทุนอยู่เบื้องหลัง เพื่อแปรเปลี่ยนสภาพผืนดินไปเป็นทำเลทอง แล้วทำการขายต่อเพื่อทำธุรกิจการท่องเที่ยว เช่น บังกะโล รีสอร์ท หรือเพื่อทำสวนปาล์มน้ำมัน สวนยางพารา ขนาดใหญ่นับร้อยๆ ไร่ขึ้นไป
นายเสรี พาณิชย์กุล นายอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง กล่าวถึงการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า เพื่อยึดครองที่ดินของกลุ่มนายทุนว่า ขณะนี้ยังคงมีต่อเนื่อง ทั้งที่แผ้วถางเพื่อหวังครอบครองทำกิน หรือแผ้วถางเพื่อปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมัน ซึ่งพอต้นไม้เหล่านี้โตได้ที่ ก็บอกขายนายทุนในตัวเมืองตรัง โดยที่คนซื้อเองก็ไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย เนื่องจากเห็นว่ามีการเข้าไปทำกินเป็นเวลานาน 2-3 ปีแล้ว แต่พอตนเองเข้าไปทำกินต่อ ก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวมาดำเนินคดี ซึ่งกรณีเช่นนี้เกิดมาจากความไม่ตั้งใจที่จะบุกรุก เพียงแต่เห็นว่าผืนดินแปลงนั้นๆ มีความน่าสนใจ และคิดว่าไม่มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ ส่วนอีกกรณีหนึ่งมีนายทุนอยู่เบื้องหลัง และได้ว่าจ้างชาวบ้านให้เข้าไปแผ้วถางป่า โดยนายทุนจะจ่ายเหมาจ่ายในราคาไร่ละ 2,000-3,000 บาท
สำหรับกรณีที่มีการจับกุมนายทหาร พร้อมลูกน้องได้แบบคาหนังคาเขา หรือการจับกุมการบุกรุกป่าเพื่อก่อสร้างรีสอร์ท ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหมนั้น ถือเป็นการกระทำความผิดที่ชัดเจน และมีหลักฐานแน่นหนา ขึ้นอยู่กับการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องว่าไปตามขั้นตอน แต่ในการที่จะสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่ ตนคิดว่าคงเป็นไปได้ยาก เพราะทุกคดีที่มีการจับกุม ผู้ต้องหาจะไม่ให้การซัดทอดไปถึงใคร อีกทั้งโทษก็เล็กน้อยแค่ปรับ หลังจากนั้นชาวบ้านก็เข้าไปดำเนินการอีก อย่างไรก็ตาม ทางอำเภอได้เน้นที่การป้องกัน ด้วยการจัดประชุมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และโรงเรียน เพื่อปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ผ่านนักเรียนไปยังพ่อแม่ผู้ปกครอง ให้ช่วยกันสอดส่องดูแลและช่วยแจ้งเบาะแส ตลอดจนการอบรมอาสาสมัครพิทักษ์ป่า
นายเปลื้อง รัตนฉวี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดตรัง กล่าวว่า กรณีการจับกุมนายทหารขณะคุมกำลังเข้าไปดำเนินการแผ้วถางป่านั้น เป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ร่วมกับฝ่ายปกครอง เคยเข้าไปตรวจยึดไว้แล้ว แต่ผู้ต้องหาก็ยังแอบเข้าไปบุกรุกใหม่ จึงถูกจับกุมดังกล่าว ซึ่งนายทหารคนนี้ยังมีส่วนพัวพันกับการบุกรุกป่าในพื้นที่อำเภอปะเหลียนมาด้วย ซึ่งเชื่อว่าหากทุกฝ่ายดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ก็จะสามารถเอาผิดได้ทั้งทางวินัยและทางอาญา พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกหน่วยได้ทำงานอย่างเต็มที่ ในขณะที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้สั่งกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด