นครศรีธรรมราช - ผบช.ภ.8 เต้นแก๊งทวงหนี้เงินกู้เถื่อนอาละวาดหนัก ซ้ำเติมชาวบ้านยุคเศรษฐกิจขาลง สั่งจับดำเนินคดีเด็ดขาด-ผกก.สภ.สิชล นำทีมจับ 3 โจ๋คาหนังคาเขาขณะยึดทรัพย์สินลูกหนี้ ดำเนินคดีข้อหาปล้นทรัพย์ แฉขบวนการนายทุนภาคกลางบุกยึดหัวหากภาคใต้ เตรียมกวาดล้างใหญ่
วันนี้ (20 ส.ค.) พล.ต.ต.สราวุธ พีรานนท์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ผกก.สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม 3 ผู้ต้องหาแก๊งทวงหนี้นอกระบบ ที่จับกุมได้ขณะกำลังขนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ไม่มีเงินชำระในตลาด อ.สิชล ตำรวจจึงเข้าจับกุมตัวดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานและชิงทรัพย์
พล.ต.ต.สราวุธ เปิดเผยว่า ได้มีประชาชนในท้องที่หลายอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราชร้องเรียนขอความช่วยเหลือไปยัง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.ภ.8 รวมทั้งนายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่ราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กรณีแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบตามทวงหนี้ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และใช้อำนาจเถื่อนยึดทรัพย์สินของชาวบ้านซึ่งเป็นลูกหนี้ จนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.ภ.8 จึงสั่งกำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ออกตรวจสอบ และช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน พร้อมจับกุมแก๊งทวงหนี้นอกระบบดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
จนเมื่อเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน ในขณะที่ พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ผกก.สภ.สิชล จึงกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบติดตามความเคลื่อนไหวของแก๊งทวงหนี้นอกระบบที่ทราบว่าได้รับแจ้งจาก นางวรรณี ทัดจันทร์ อายุ 45 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่งในตลาดสิชล ว่าถูกแก๊งทวงหนี้เถื่อนดังกล่าวตามทวงหนี้ และข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว และยังขนทรัพย์สินเป็นม้าหินอ่อนจำนวน 3 ตัว เพื่อชดใช้หนี้รายวัน
จึงสั่งการให้ ร.ต.ท.สุชาติ มีชัย รอง สว.สส.สภ.สิชล นำกำลังไปตรวจสอบพบชายวัยรุ่นแก๊งทวงหนี้จำนวน 3 คน กำลังช่วยกันขนม้าหินอ่อนจำนวน 3 ตัว ขึ้นท้ายรถกระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า สีเทา ทะเบียน ภค-9046 กทม.จึงนำกำลังตำรวจบุกเข้าจับกุมได้จำนวน 3 คน พร้อมทรัพย์สินของกลางจำนวนมาก จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่โรงพัก
สำหรับผู้ต้องหาทั้งสาม ประกอบด้วย นายปรีชา วัดศรี อายุ 20 ปี นายชัชชัย ปิ่นแก้ว อายุ 16 ปี และนายอนุชา ศิริโยธา อายุ 20 ปี ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี โดยแต่ละคนสักตามร่างกายจนลายพร้อย ให้การรับสารภาพว่าเป็นพนักงานของนายทุนเงินกู้นอกระบบรายหนึ่งในแถบภาคกลาง เข้ามาดำเนินธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบในหลายจังหวัดของภาคใต้ โดยเฉพาะ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง พัทลุง โดยจะให้พนักงานแยกย้ายกันไปเช่าบ้านเป็นกองบัญชาการในแต่ละจังหวัด สำหรับพวกตนเช่าบ้านอยู่ใน จ.สุราษฎร์ธานี แต่รับผิดชอบในหลายอำเภอของสุราษฎร์ธานี และบางส่วนของ จ.นครศรีธรรมราช เช่น ขนอม สิชล
“วิธีการก็คือ การปล่อยเงินกู้และเรียกเก็บรายวัน เช่น กู้เงินต้น 4,000 บาท จะเรียกเก็บรายวันๆ ละ 200 บาท จำนวน 24 วัน ลูกหนี้จะต้องเสียทั้งเงินต้นและดอกรวม 4,800 บาท ถ้ากู้เงินต้น 5,000 บาท จะเก็บรายวันรวม 24 วันๆ ละ 250 บาท รวมทั้งต้นทั้งดอก 6,000 บาท เป็นต้น หน้าที่ของพวกตนจะต้องตามเก็บเงินจากลูกหนี้ให้ได้ทุกวัน โดยไม่มีการผัดผ่อนเด็ดขาด หากลูกหนี้ไม่มีจ่ายก็จะตามยึดทรัพย์สินไปเป็นหลักประกัน หากลูกหนี้นำเงินทั้งต้นและดอกที่ค้างมาเคลียร์จนครบก็จะคืนทรัพย์สินที่ยึดมาให้ จนกระทั้งมาถูกจับกุมดังกล่าว” ผู้ต้องหาระบุ
พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ กล่าวว่า แก๊งเงินกู้นอกระบบดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนปั่นป่วนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เป็นการซ้ำเติมประชาชนในในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตำรวจพยายามติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ แต่ในบางครั้งก็ยากที่จะเอาผิดได้ เพราะไม่มีผู้เสียหาย และยากในการรวบรวมพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตำรวจจับกุมได้ขณะกระทำผิด ถือว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า จึงดำเนินคดีได้ทันทีและดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานและร่วมกันชิงทรัพย์ โดยจะดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด รวมทั้งจะหาทางกวาดล้างแก๊งเงินกู้นอกระบบให้หมดไปจากพื้นที่ให้ได้
วันนี้ (20 ส.ค.) พล.ต.ต.สราวุธ พีรานนท์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ผกก.สภ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม 3 ผู้ต้องหาแก๊งทวงหนี้นอกระบบ ที่จับกุมได้ขณะกำลังขนทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ไม่มีเงินชำระในตลาด อ.สิชล ตำรวจจึงเข้าจับกุมตัวดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานและชิงทรัพย์
พล.ต.ต.สราวุธ เปิดเผยว่า ได้มีประชาชนในท้องที่หลายอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราชร้องเรียนขอความช่วยเหลือไปยัง พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.ภ.8 รวมทั้งนายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่ราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กรณีแก๊งปล่อยเงินกู้นอกระบบตามทวงหนี้ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และใช้อำนาจเถื่อนยึดทรัพย์สินของชาวบ้านซึ่งเป็นลูกหนี้ จนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก พล.ต.ท.สัณฐาน ชยานนท์ ผบช.ภ.8 จึงสั่งกำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่ออกตรวจสอบ และช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน พร้อมจับกุมแก๊งทวงหนี้นอกระบบดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด
จนเมื่อเวลา 15.30 น.วันเดียวกัน ในขณะที่ พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ผกก.สภ.สิชล จึงกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบติดตามความเคลื่อนไหวของแก๊งทวงหนี้นอกระบบที่ทราบว่าได้รับแจ้งจาก นางวรรณี ทัดจันทร์ อายุ 45 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่งในตลาดสิชล ว่าถูกแก๊งทวงหนี้เถื่อนดังกล่าวตามทวงหนี้ และข่มขู่ให้เกิดความหวาดกลัว และยังขนทรัพย์สินเป็นม้าหินอ่อนจำนวน 3 ตัว เพื่อชดใช้หนี้รายวัน
จึงสั่งการให้ ร.ต.ท.สุชาติ มีชัย รอง สว.สส.สภ.สิชล นำกำลังไปตรวจสอบพบชายวัยรุ่นแก๊งทวงหนี้จำนวน 3 คน กำลังช่วยกันขนม้าหินอ่อนจำนวน 3 ตัว ขึ้นท้ายรถกระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า สีเทา ทะเบียน ภค-9046 กทม.จึงนำกำลังตำรวจบุกเข้าจับกุมได้จำนวน 3 คน พร้อมทรัพย์สินของกลางจำนวนมาก จึงควบคุมตัวมาสอบสวนที่โรงพัก
สำหรับผู้ต้องหาทั้งสาม ประกอบด้วย นายปรีชา วัดศรี อายุ 20 ปี นายชัชชัย ปิ่นแก้ว อายุ 16 ปี และนายอนุชา ศิริโยธา อายุ 20 ปี ทั้งหมดมีภูมิลำเนาอยู่ ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี โดยแต่ละคนสักตามร่างกายจนลายพร้อย ให้การรับสารภาพว่าเป็นพนักงานของนายทุนเงินกู้นอกระบบรายหนึ่งในแถบภาคกลาง เข้ามาดำเนินธุรกิจปล่อยเงินกู้นอกระบบในหลายจังหวัดของภาคใต้ โดยเฉพาะ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ตรัง พัทลุง โดยจะให้พนักงานแยกย้ายกันไปเช่าบ้านเป็นกองบัญชาการในแต่ละจังหวัด สำหรับพวกตนเช่าบ้านอยู่ใน จ.สุราษฎร์ธานี แต่รับผิดชอบในหลายอำเภอของสุราษฎร์ธานี และบางส่วนของ จ.นครศรีธรรมราช เช่น ขนอม สิชล
“วิธีการก็คือ การปล่อยเงินกู้และเรียกเก็บรายวัน เช่น กู้เงินต้น 4,000 บาท จะเรียกเก็บรายวันๆ ละ 200 บาท จำนวน 24 วัน ลูกหนี้จะต้องเสียทั้งเงินต้นและดอกรวม 4,800 บาท ถ้ากู้เงินต้น 5,000 บาท จะเก็บรายวันรวม 24 วันๆ ละ 250 บาท รวมทั้งต้นทั้งดอก 6,000 บาท เป็นต้น หน้าที่ของพวกตนจะต้องตามเก็บเงินจากลูกหนี้ให้ได้ทุกวัน โดยไม่มีการผัดผ่อนเด็ดขาด หากลูกหนี้ไม่มีจ่ายก็จะตามยึดทรัพย์สินไปเป็นหลักประกัน หากลูกหนี้นำเงินทั้งต้นและดอกที่ค้างมาเคลียร์จนครบก็จะคืนทรัพย์สินที่ยึดมาให้ จนกระทั้งมาถูกจับกุมดังกล่าว” ผู้ต้องหาระบุ
พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ กล่าวว่า แก๊งเงินกู้นอกระบบดังกล่าวสร้างความเดือดร้อนปั่นป่วนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เป็นการซ้ำเติมประชาชนในในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ตำรวจพยายามติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ แต่ในบางครั้งก็ยากที่จะเอาผิดได้ เพราะไม่มีผู้เสียหาย และยากในการรวบรวมพยานหลักฐาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตำรวจจับกุมได้ขณะกระทำผิด ถือว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า จึงดำเนินคดีได้ทันทีและดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานและร่วมกันชิงทรัพย์ โดยจะดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด รวมทั้งจะหาทางกวาดล้างแก๊งเงินกู้นอกระบบให้หมดไปจากพื้นที่ให้ได้