โจรสวมหมวกกันน็อกปล้นเสี่ยเงินกู้ อดีตพนักงานเป๊ปซี่ กลางกรุง ขณะเจ้าตัวกำลังทวงหนี้ลูกน้องเก่าในรถส่วนตัว ได้เงินไป 5 หมื่น ซิ่งฟีโน่หนี ยันไม่สงสัยลูกน้องที่อยู่ร่วมชะตากรรมในที่เกิดเหตุ ตำรวจไม่ปักใจเชื่อ 2 ผู้ต้องสงสัย พบพิรุธหลายอย่างแถมให้การวกวน คาดเกิดจากเกลือเป็นหนอนรู้ความเคลื่อนไหวผู้เสียหาย
วันนี้ (3 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. พ.ต.ท.ณัฎฐพร สุรพงรักตระกูล พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ประชาชื่น ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายปล้นทรัพย์ ที่บริเวณหน้าวัดเสมียนนารี ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่สายตรวจ
ที่เกิดเหตุห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ประมาณ 200 เมตร พบรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ มิวเซเว่น สีขาว หมายเลขทะเบียน ฌถ 6056 กทม.จอดนิ่ง ซึ่งภายในรถพบนายวรศักดิ์ กิตตินรนันท์ อายุ 62 ปี และนายอำนาจ ดีแนบเนียน อายุ 38 ปี ถูกใส่กุญแจมือติดกับพวงมาลัยรถ นายพิเชษฐ์ จั่นถาวร อายุ 38 ปี นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง และนายสมมิตร เพิ่มศักดิ์ อายุ 40 ปี ยืนอยู่ด้านนอกรถ ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นพนักงานบริษัท เสริมสุข จำกัด ตรวจสอบภายในรถพบร่องรอยการรื้อค้นทรัพย์สินข้าวของกระจัดกระจาย เจ้าหน้าที่จึงทำการช่วยเหลือผู้เสียหายและนำตัวทั้งหมดไปสอบปากคำที่ สน.ประชาชื่น
จากการสอบสวน นายวรศักดิ์กล่าวว่า ตนเคยประกอบอาชีพเป็นหัวหน้าเขต บริษัท เสริมสุข จำกัด สาขาบางเขน แต่เกษียณไปแล้ว 2 ปี ตอนนี้ดูแลกิจการหอพักอยู่ที่ย่าน จ.ปทุมธานี ก่อนเกิดเหตุตนกำลังจะไปตรวจความเรียบร้อยที่หอพักย่านปทุมธานี และได้โทรศัพท์นัดลูกน้อง 2 คน คือ นายอำนาจ และนายพิเชษฐ์ เพื่อที่จะตกลงกันเรื่องหนี้สิน เนื่องจากทั้ง 2 เป็นหนี้ตนอยู่จำนวนหนึ่ง และยังทำงานเป็นนายหน้าให้กับตนด้วย เมื่อทั้ง 2 คนมาถึงก็เข้ามานั่งพูดคุยกันอยู่ในรถ
นายวรศักดิ์กล่าวต่อว่า ระหว่างที่กำลังคุยกับลูกน้องทั้ง 2 คน ก็มีคนร้ายจำนวน 3 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้ามาจี้ตน โดยคนร้ายที่สวมหมวกกันน็อกใช้ปืนจี้นายพิเชษฐ์ ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ส่วนอีกคนรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี ผิวขาว เปิดประตูฝั่งคนนั่งด้านซ้ายกระชากข้อมือนายอำนาจ และข้อมือขวา ตนใส่กุญแจมือคล้องติดไว้กับพวงมาลัยรถ จากนั้นก็รื้อค้นบริเวณคอนโซลกลางของรถ หยิบเงินสดของตนไป 50,000 บาท พร้อมโทรศัพท์มือถือโนเกียไปด้วย โดยคนร้ายอีกคนคอยดูต้นทางอยู่ด้านหลังรถของตน ก่อนที่คนร้ายทั้งหมดจะพากันขับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีแดงดำ ไม่ทราบทะเบียนหลบหนีมุ่งหน้าไปทางบางเขน จากนั้นนายสมมิตรก็รีบวิ่งมาที่เกิดเหตุบอกว่ารู้ว่าตนถูกปล้นจึงรีบมาดู
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผมไม่ได้คิดสงสัยลูกน้อง เนื่องจากคบหากันมานาน แต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก และนัดพบปะกันหลายครั้งแล้วไม่เคยเกิดเรื่องลักษณะนี้เลย และผมก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร แต่ช่วงที่ผมทำงานอยู่ที่บริษัท เป๊ปซี่ ก็ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับพนักงานหลายคน รวมทั้ง 2 คนนี้ อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้ที่ทำให้ผมถูกปล้น” นายวรศักดิ์ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ณัฎฐพร กล่าวว่า เบื้องต้นได้แยกตัวนายอำนาจ และนายพิเชษฐ์ ทำการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งจากการสอบปากคำทั้ง 2 คน พบพิรุธหลายอย่าง ให้การวกวนไปมา เจ้าหน้าที่จึงยังไม่ปักใจเชื่อ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 คนเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด เนื่องจากเป็นคนที่รู้ว่านายวรศักดิ์มีเงินอยู่ภายในรถ อีกทั้งนายพิเชษฐ์ก็มีบ้านอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม อาจเกิดจากเกลือเป็นหนอน เนื่องจากรู้ว่าผู้เสียหายจะทำอะไรในวันนี้และมีเงินติดตัวเป็นจำนวนมากจึงดักรอปล้นทรัพย์
พ.ต.ท.ณัฎฐพร กล่าวต่อว่า ส่วนนายสมมิตร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้แยกห้องสอบปากคำ ซึ่งยังไม่พบพิรุธใดๆ ทั้งนี้ จะต้องสอบปากคำทั้ง 2 คน และผู้ที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงพยานแวดล้อมอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อคลี่คลายคดีและตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
วันนี้ (3 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. พ.ต.ท.ณัฎฐพร สุรพงรักตระกูล พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ประชาชื่น ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายปล้นทรัพย์ ที่บริเวณหน้าวัดเสมียนนารี ถนนกำแพงเพชร 6 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และเจ้าหน้าที่สายตรวจ
ที่เกิดเหตุห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ประมาณ 200 เมตร พบรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ มิวเซเว่น สีขาว หมายเลขทะเบียน ฌถ 6056 กทม.จอดนิ่ง ซึ่งภายในรถพบนายวรศักดิ์ กิตตินรนันท์ อายุ 62 ปี และนายอำนาจ ดีแนบเนียน อายุ 38 ปี ถูกใส่กุญแจมือติดกับพวงมาลัยรถ นายพิเชษฐ์ จั่นถาวร อายุ 38 ปี นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง และนายสมมิตร เพิ่มศักดิ์ อายุ 40 ปี ยืนอยู่ด้านนอกรถ ซึ่งทั้ง 3 คน เป็นพนักงานบริษัท เสริมสุข จำกัด ตรวจสอบภายในรถพบร่องรอยการรื้อค้นทรัพย์สินข้าวของกระจัดกระจาย เจ้าหน้าที่จึงทำการช่วยเหลือผู้เสียหายและนำตัวทั้งหมดไปสอบปากคำที่ สน.ประชาชื่น
จากการสอบสวน นายวรศักดิ์กล่าวว่า ตนเคยประกอบอาชีพเป็นหัวหน้าเขต บริษัท เสริมสุข จำกัด สาขาบางเขน แต่เกษียณไปแล้ว 2 ปี ตอนนี้ดูแลกิจการหอพักอยู่ที่ย่าน จ.ปทุมธานี ก่อนเกิดเหตุตนกำลังจะไปตรวจความเรียบร้อยที่หอพักย่านปทุมธานี และได้โทรศัพท์นัดลูกน้อง 2 คน คือ นายอำนาจ และนายพิเชษฐ์ เพื่อที่จะตกลงกันเรื่องหนี้สิน เนื่องจากทั้ง 2 เป็นหนี้ตนอยู่จำนวนหนึ่ง และยังทำงานเป็นนายหน้าให้กับตนด้วย เมื่อทั้ง 2 คนมาถึงก็เข้ามานั่งพูดคุยกันอยู่ในรถ
นายวรศักดิ์กล่าวต่อว่า ระหว่างที่กำลังคุยกับลูกน้องทั้ง 2 คน ก็มีคนร้ายจำนวน 3 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้ามาจี้ตน โดยคนร้ายที่สวมหมวกกันน็อกใช้ปืนจี้นายพิเชษฐ์ ที่นั่งอยู่ด้านหลัง ส่วนอีกคนรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดี ผิวขาว เปิดประตูฝั่งคนนั่งด้านซ้ายกระชากข้อมือนายอำนาจ และข้อมือขวา ตนใส่กุญแจมือคล้องติดไว้กับพวงมาลัยรถ จากนั้นก็รื้อค้นบริเวณคอนโซลกลางของรถ หยิบเงินสดของตนไป 50,000 บาท พร้อมโทรศัพท์มือถือโนเกียไปด้วย โดยคนร้ายอีกคนคอยดูต้นทางอยู่ด้านหลังรถของตน ก่อนที่คนร้ายทั้งหมดจะพากันขับรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า รุ่นฟีโน่ สีแดงดำ ไม่ทราบทะเบียนหลบหนีมุ่งหน้าไปทางบางเขน จากนั้นนายสมมิตรก็รีบวิ่งมาที่เกิดเหตุบอกว่ารู้ว่าตนถูกปล้นจึงรีบมาดู
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ผมไม่ได้คิดสงสัยลูกน้อง เนื่องจากคบหากันมานาน แต่ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก และนัดพบปะกันหลายครั้งแล้วไม่เคยเกิดเรื่องลักษณะนี้เลย และผมก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร แต่ช่วงที่ผมทำงานอยู่ที่บริษัท เป๊ปซี่ ก็ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับพนักงานหลายคน รวมทั้ง 2 คนนี้ อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็เป็นได้ที่ทำให้ผมถูกปล้น” นายวรศักดิ์ กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ณัฎฐพร กล่าวว่า เบื้องต้นได้แยกตัวนายอำนาจ และนายพิเชษฐ์ ทำการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ซึ่งจากการสอบปากคำทั้ง 2 คน พบพิรุธหลายอย่าง ให้การวกวนไปมา เจ้าหน้าที่จึงยังไม่ปักใจเชื่อ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 2 คนเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุด เนื่องจากเป็นคนที่รู้ว่านายวรศักดิ์มีเงินอยู่ภายในรถ อีกทั้งนายพิเชษฐ์ก็มีบ้านอยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม อาจเกิดจากเกลือเป็นหนอน เนื่องจากรู้ว่าผู้เสียหายจะทำอะไรในวันนี้และมีเงินติดตัวเป็นจำนวนมากจึงดักรอปล้นทรัพย์
พ.ต.ท.ณัฎฐพร กล่าวต่อว่า ส่วนนายสมมิตร เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนได้แยกห้องสอบปากคำ ซึ่งยังไม่พบพิรุธใดๆ ทั้งนี้ จะต้องสอบปากคำทั้ง 2 คน และผู้ที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงพยานแวดล้อมอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อคลี่คลายคดีและตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป