คนร้ายปล้นร้านขายรถ จยย.ทำร้ายเจ้าของปากแตก ใช้ปืนตีหัว-ใบหน้าลูกชายจนฟันหัก แถมใช้เข็มขัดรัดคอพี่สาวเจ้าของร้านวัยกว่า 60 ปี อาการสาหัสแล้วจับมัดไว้ในห้องครัว รื้อค้นเอาเงินสดไปกว่า 5 แสนบาท และทรัพย์สินอื่น ตำรวจกำลังแกะรอยตามจับมาดำเนินคดี
วันนี้ (20 ก.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. พ.ต.ท.ปราโมทย์ จันทร พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.บางโพงพาง รับแจ้งเหตุคนร้ายปล้นทรัพย์ภายในร้านสาธุเจริญยนต์ ตั้งอยู่ปากซอยสาธุประดิษฐ์ 53 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.สมชาย พัชรอินโต รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.กสิณ ศรีธรรมาสุข ผกก.สน.บางโพงพาง พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สืบสวน บก.น.5 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางโพงพาง กก.สืบสวน บก.น.5 และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น เปิดเป็นร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าที่พบเพียงกองเลือดอยู่บริเวณชั้นล่างและชั้นลอยของร้านดังกล่าว และมีผู้รับบาดเจ็บจำนวน 3 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ประกอบด้วย นายสมชาย ฉันทวัฒนกิจ อายุ 57 ปี เจ้าของร้าน และที่ปรึกษา กก.ตร.สน.บางโพงพาง ได้รับบาดเจ็บศีรษะและปากแตก นายนรินทร์ ฉันทวัฒนกิจ อายุ 24 ปี ลูกชาย ถูกอาวุธปืนตีเข้าที่ศีรษะและใบหน้าจนฟันหักไปหลายซี่ และนางเซียมจือ แซ่ฉั่ว อายุ 64 ปี พี่สาวของนายสมชายถูกเข็มขัดรัดคอและทุบที่ศีรษะด้วยแพกนมสดครึ่งโหลจนอาการสาหัส
จากการสอบสวนนายสมชายให้การว่า ปกติตนจะต้องตื่นมาใส่บาตรพระในเวลาประมาณ 06.00 น.ทุกวัน โดยในวันนี้หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็มาเปิดประตูเหล็กบานเล็กหน้าบ้านเพื่อเตรียมตัวเปิดร้าน แต่ขณะที่กำลังจะขึ้นไปทำกับข้าวบนชั้นลอย มีคนร้ายจำนวน 3 คน จำได้ว่าคนร้ายทั้งหมดสวมเสื้อช็อปสีเทา นุ่งกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมรองเท้าผ้าใบ สวมหมวกผ้าสีน้ำตาล มีผ้าคาดหน้า 2 คน อีกคนสวมหมวกไม่มีผ้าคาดหน้า บุกเข้ามาในร้านพร้อมกับยิงปืนขู่ 1 นัด จากนั้นคนร้ายทั้ง 3 คนก็ตรงเข้ามารุมทำร้ายแล้วจับตนมัดพร้อมบังคับให้นอนอยู่กับพื้น
นายสมชายให้การต่อว่า จากนั้นคนร้าย 2 คนก็ขึ้นไปรุมทำร้ายลูกชายกับพี่สาวของตนที่ชั้นลอย แล้วจับมัดไว้ในห้องครัวเหมือนกับตน ก่อนที่ทั้งหมดก็เข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในห้อง แล้วขนเอาเงินสดไปกว่า 5 แสนบาท โทรศัพท์ 2 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่องออกมา พอดีจังหวะนั้นมีคนมาตะโกนเรียกตนที่บริเวณหน้าบ้านทำให้คนร้ายตกใจรีบวิ่งออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดห่างจากหน้าร้านไปประมาณ 30 เมตรหลบหนีไป
ด้าน นางสุดา ฉันทวัฒนกิจ ภรรยานายสมชาย ให้การว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.20 น. ขณะที่ตนกำลังหลับพักผ่อนอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน สามีก็ขึ้นมาเรียกตนให้ช่วยด้วยสภาพสะบักสะบอมเสื้อเปื้อนเลือด โดยสามีบอกว่ามีคนร้ายบุกเข้ามาในร้าน และทำร้ายลูกชายตนกับพี่สาวนอนจมกองเลือดอยู่ห้องครัวชั้นลอย ตนจึงรีบวิ่งลงมาช่วยพาส่งโรงพยาบาล ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.กสิณ กล่าวว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายได้ทิ้งหลักฐานต่างๆ ไว้หลายอย่าง ทั้งลายนิ้วมือแฝง หัวกระสุนปืน และลูกปืนขนาด .38 จำนวน 1 นัด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์ได้เก็บไว้ตรวจพิสูจน์แล้ว
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำผู้เสียหายให้การว่า ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์มาหลาย 10 ปี ก็ไม่เคยมีเรื่องทะเละวิวาทกับใคร อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายสามารถจำรูปพรรณของคนร้ายที่ก่อเหตุได้ 1 คน โดยเชื่อว่าน่าที่จะเป็นคนที่เคยเข้ามาติดต่อที่ร้าน
พ.ต.อ.กสิณ กล่าวต่อว่า ผู้เสียหายยังสงสัยว่าทำไม่ต้องเข้ามาทำร้ายตัวเองและคนครอบครัวได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ จึงคาดว่าคนร้ายไม่น่าที่จะประสงค์ต่อทรัพย์เพียงอย่างเดียว จึงได้สั่งการไปทางพนักงานสอบสวนให้สอบสวนผู้เสียหายให้ชัดเจนถึงประเด่นที่ต้องสงสัยในคดี พร้อมทั้งให้ฝ่ายสืบสวนออกหาข่าวในพื้นที่ใกล้เคียง หาพยานบุคคลที่เห็นยานพาหนะของคนร้าย และรูปพรรณของคนร้ายทั้ง 3 คน เพื่อติดตามจับกุมต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.สมบัติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในบริเวณจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สามารถเก็บร่องรอยที่คนร้ายทิ้งไว้ได้จำนวนมากเก็บไปเปรียบเทียบกับทะเบียนประวัติคนร้ายได้ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าคนร้ายกลุ่มนี้น่าที่จะเป็นกลุ่มคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายเป็นอย่างดีก่อนลงมือก่อเหตุ
วันนี้ (20 ก.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. พ.ต.ท.ปราโมทย์ จันทร พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.บางโพงพาง รับแจ้งเหตุคนร้ายปล้นทรัพย์ภายในร้านสาธุเจริญยนต์ ตั้งอยู่ปากซอยสาธุประดิษฐ์ 53 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ แล้วรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.สมชาย พัชรอินโต รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.กสิณ ศรีธรรมาสุข ผกก.สน.บางโพงพาง พ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สืบสวน บก.น.5 เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางโพงพาง กก.สืบสวน บก.น.5 และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน
ที่เกิดเหตุเป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น เปิดเป็นร้านจำหน่ายรถจักรยานยนต์ เจ้าหน้าที่พบเพียงกองเลือดอยู่บริเวณชั้นล่างและชั้นลอยของร้านดังกล่าว และมีผู้รับบาดเจ็บจำนวน 3 คน ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ ประกอบด้วย นายสมชาย ฉันทวัฒนกิจ อายุ 57 ปี เจ้าของร้าน และที่ปรึกษา กก.ตร.สน.บางโพงพาง ได้รับบาดเจ็บศีรษะและปากแตก นายนรินทร์ ฉันทวัฒนกิจ อายุ 24 ปี ลูกชาย ถูกอาวุธปืนตีเข้าที่ศีรษะและใบหน้าจนฟันหักไปหลายซี่ และนางเซียมจือ แซ่ฉั่ว อายุ 64 ปี พี่สาวของนายสมชายถูกเข็มขัดรัดคอและทุบที่ศีรษะด้วยแพกนมสดครึ่งโหลจนอาการสาหัส
จากการสอบสวนนายสมชายให้การว่า ปกติตนจะต้องตื่นมาใส่บาตรพระในเวลาประมาณ 06.00 น.ทุกวัน โดยในวันนี้หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วก็มาเปิดประตูเหล็กบานเล็กหน้าบ้านเพื่อเตรียมตัวเปิดร้าน แต่ขณะที่กำลังจะขึ้นไปทำกับข้าวบนชั้นลอย มีคนร้ายจำนวน 3 คน จำได้ว่าคนร้ายทั้งหมดสวมเสื้อช็อปสีเทา นุ่งกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน สวมรองเท้าผ้าใบ สวมหมวกผ้าสีน้ำตาล มีผ้าคาดหน้า 2 คน อีกคนสวมหมวกไม่มีผ้าคาดหน้า บุกเข้ามาในร้านพร้อมกับยิงปืนขู่ 1 นัด จากนั้นคนร้ายทั้ง 3 คนก็ตรงเข้ามารุมทำร้ายแล้วจับตนมัดพร้อมบังคับให้นอนอยู่กับพื้น
นายสมชายให้การต่อว่า จากนั้นคนร้าย 2 คนก็ขึ้นไปรุมทำร้ายลูกชายกับพี่สาวของตนที่ชั้นลอย แล้วจับมัดไว้ในห้องครัวเหมือนกับตน ก่อนที่ทั้งหมดก็เข้าไปรื้อค้นทรัพย์สินภายในห้อง แล้วขนเอาเงินสดไปกว่า 5 แสนบาท โทรศัพท์ 2 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 1 เครื่องออกมา พอดีจังหวะนั้นมีคนมาตะโกนเรียกตนที่บริเวณหน้าบ้านทำให้คนร้ายตกใจรีบวิ่งออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดห่างจากหน้าร้านไปประมาณ 30 เมตรหลบหนีไป
ด้าน นางสุดา ฉันทวัฒนกิจ ภรรยานายสมชาย ให้การว่า เมื่อเวลาประมาณ 07.20 น. ขณะที่ตนกำลังหลับพักผ่อนอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน สามีก็ขึ้นมาเรียกตนให้ช่วยด้วยสภาพสะบักสะบอมเสื้อเปื้อนเลือด โดยสามีบอกว่ามีคนร้ายบุกเข้ามาในร้าน และทำร้ายลูกชายตนกับพี่สาวนอนจมกองเลือดอยู่ห้องครัวชั้นลอย ตนจึงรีบวิ่งลงมาช่วยพาส่งโรงพยาบาล ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบ
ด้าน พ.ต.อ.กสิณ กล่าวว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่าคนร้ายได้ทิ้งหลักฐานต่างๆ ไว้หลายอย่าง ทั้งลายนิ้วมือแฝง หัวกระสุนปืน และลูกปืนขนาด .38 จำนวน 1 นัด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์ได้เก็บไว้ตรวจพิสูจน์แล้ว
ทั้งนี้ จากการสอบปากคำผู้เสียหายให้การว่า ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์มาหลาย 10 ปี ก็ไม่เคยมีเรื่องทะเละวิวาทกับใคร อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายสามารถจำรูปพรรณของคนร้ายที่ก่อเหตุได้ 1 คน โดยเชื่อว่าน่าที่จะเป็นคนที่เคยเข้ามาติดต่อที่ร้าน
พ.ต.อ.กสิณ กล่าวต่อว่า ผู้เสียหายยังสงสัยว่าทำไม่ต้องเข้ามาทำร้ายตัวเองและคนครอบครัวได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ จึงคาดว่าคนร้ายไม่น่าที่จะประสงค์ต่อทรัพย์เพียงอย่างเดียว จึงได้สั่งการไปทางพนักงานสอบสวนให้สอบสวนผู้เสียหายให้ชัดเจนถึงประเด่นที่ต้องสงสัยในคดี พร้อมทั้งให้ฝ่ายสืบสวนออกหาข่าวในพื้นที่ใกล้เคียง หาพยานบุคคลที่เห็นยานพาหนะของคนร้าย และรูปพรรณของคนร้ายทั้ง 3 คน เพื่อติดตามจับกุมต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.สมบัติ กล่าวว่า จากการตรวจสอบในบริเวณจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่สามารถเก็บร่องรอยที่คนร้ายทิ้งไว้ได้จำนวนมากเก็บไปเปรียบเทียบกับทะเบียนประวัติคนร้ายได้ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าคนร้ายกลุ่มนี้น่าที่จะเป็นกลุ่มคนที่รู้ความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายเป็นอย่างดีก่อนลงมือก่อเหตุ