ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ระบุ ปัญหาโรฮิงญาหลบหนีเข้าเมืองไม่หมดแน่ ตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สหประชาติต้องเข้ามามารับผิดชอบ ในการประสานเพื่อแก้ปัญหาชนกลุ่มน้อยให้มากขึ้น
นายประนูญ สุวรรณภักดี รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ที่ จ.ภูเก็ต กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญา ซึ่งก่อนหน้านี้ มีชาวโรฮิงญา จำนวน 86 คน ซึ่งถูกจับกุมเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และถูกคุมขังอยู่ในห้องควบคุมของด่านตรวจคนจังหวัดระนอง ซึ่งจากการกักขังที่ยาวนานกว่า 7 เดือนในห้องแคบๆ ของห้องขัง ทำให้ชาวโรฮิงญาเสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย และเจ็บป่วยแขนขาอ่อนแรงอีก 13 ราย ซึ่งได้มีการส่งโรฮิงญาทั้งหมดไปขังต่อที่ยังศูนย์ส่งกลับ สตม.ที่ซอยสวนพลู กรุงเทพมหานคร ว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องดูที่ต้นเหตุของปัญหาว่าเกิดจากอะไร ซึ่งก็จะต้องว่ากันไปตามความรับผิดชอบ ส่วนปัญหาชาวโรฮิงญาหลบหนีเข้าเมืองนั้น เชื่อว่า ไม่หมดไปง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง เพราะเป็นธรรมดาของคนที่จะต้องแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับการเข้ามาของกลุ่มโรฮิงญาจะเข้ามาเป็นระยะๆ และคิดว่ามีการลักลอบเข้ามาเพิ่มมากขึ้นหลังมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว
“ส่วนกรณีที่รัฐบาลไทยตกเป็นจำเลยของสังคม ในกรณีของชนกลุ่มน้อยโรฮิงญานั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจน ว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มีข้อผิดพลาดตรงไหน และมองไปในอนาคตด้วยว่าจะแก้ไขอย่างไร รวมทั้งต้องแก้ไขให้ตรงจุดด้วย” นายประนูญ กล่าวและว่า
สำหรับการแก้ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้น อยากให้ประเทศที่เป็นต้นเหตุของปัญหาตอบมาบ้างว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เฉพาะปัญหาชาวโรฮิงญาเท่านั้น แต่รวมถึงชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ด้วย ที่สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ต้องเข้ามารับผิดชอบให้มากกว่านี้ ในการเป็นผู้ประสาน เพื่อแก้ปัญหาหรือหาที่อยู่ให้กับบรรดาชนกลุ่มน้อยที่ต้องการเดินทางไปอยู่ในประเทศที่สาม ไม่ใช่ปล่อยให้มาสร้างปัญหาให้กับประเทศที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมาแบกรับภาระแทน เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะหน้าที่ของยูเอ็นชัดเจนอยู่แล้ว ที่จะต้องช่วยเหลือและประสาน ในการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น
นายประนูญ สุวรรณภักดี รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ที่ จ.ภูเก็ต กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาชาวโรฮิงญา ซึ่งก่อนหน้านี้ มีชาวโรฮิงญา จำนวน 86 คน ซึ่งถูกจับกุมเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา และถูกคุมขังอยู่ในห้องควบคุมของด่านตรวจคนจังหวัดระนอง ซึ่งจากการกักขังที่ยาวนานกว่า 7 เดือนในห้องแคบๆ ของห้องขัง ทำให้ชาวโรฮิงญาเสียชีวิตไปแล้ว 2 ราย และเจ็บป่วยแขนขาอ่อนแรงอีก 13 ราย ซึ่งได้มีการส่งโรฮิงญาทั้งหมดไปขังต่อที่ยังศูนย์ส่งกลับ สตม.ที่ซอยสวนพลู กรุงเทพมหานคร ว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องดูที่ต้นเหตุของปัญหาว่าเกิดจากอะไร ซึ่งก็จะต้องว่ากันไปตามความรับผิดชอบ ส่วนปัญหาชาวโรฮิงญาหลบหนีเข้าเมืองนั้น เชื่อว่า ไม่หมดไปง่ายๆ ตราบใดที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง เพราะเป็นธรรมดาของคนที่จะต้องแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าสำหรับการเข้ามาของกลุ่มโรฮิงญาจะเข้ามาเป็นระยะๆ และคิดว่ามีการลักลอบเข้ามาเพิ่มมากขึ้นหลังมรสุมผ่านพ้นไปแล้ว
“ส่วนกรณีที่รัฐบาลไทยตกเป็นจำเลยของสังคม ในกรณีของชนกลุ่มน้อยโรฮิงญานั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องออกมาชี้แจงให้ชัดเจน ว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร มีข้อผิดพลาดตรงไหน และมองไปในอนาคตด้วยว่าจะแก้ไขอย่างไร รวมทั้งต้องแก้ไขให้ตรงจุดด้วย” นายประนูญ กล่าวและว่า
สำหรับการแก้ปัญหาชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้น อยากให้ประเทศที่เป็นต้นเหตุของปัญหาตอบมาบ้างว่าจะรับผิดชอบอย่างไร ไม่ใช่ทำเหมือนเป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่เฉพาะปัญหาชาวโรฮิงญาเท่านั้น แต่รวมถึงชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ด้วย ที่สหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ต้องเข้ามารับผิดชอบให้มากกว่านี้ ในการเป็นผู้ประสาน เพื่อแก้ปัญหาหรือหาที่อยู่ให้กับบรรดาชนกลุ่มน้อยที่ต้องการเดินทางไปอยู่ในประเทศที่สาม ไม่ใช่ปล่อยให้มาสร้างปัญหาให้กับประเทศที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องมาแบกรับภาระแทน เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะหน้าที่ของยูเอ็นชัดเจนอยู่แล้ว ที่จะต้องช่วยเหลือและประสาน ในการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น
