xs
xsm
sm
md
lg

ถึงคิวพญาอินทรี ส่องโอกาสตลาดหุ้นมะกัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


จีน อินเดีย ประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือ ประเทศในกลุ่มอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต (Emerging Market) เป็นที่กล่าวขวัญและพูดถึงตลอดช่วงทศวรรตที่ผ่านมา เนื่องจากการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด

สวนทางกับประเทศพัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา กลับเป็นที่โจษขานในการเป็นประเทศต้นตอปัญหาของเศรษฐกิจโลก จากวิกฤตสถาบันการเงินในประเทศที่ลุกลามมาจาก ปัญหาซับไพรม์ โดยที่ผ่านมานักลทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจลงทุนในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศจีน และอินเดีย เนื่องจากเป็นประเทศที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับสูง ส่วนสหรัฐอเมริกา นักลงทุนได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นลง เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้น

ใช่ว่าการลงทุนในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ดีทุกช่วงเวลา เนื่องจากประเทศเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับจังหวะและช่วงเวลาที่เข้าลงทุนโดยเฉพาะถ้าเป็นการเก็งกำไรในระยะสั้น แต่หากเป็นการลงทุนในระยะยาวแน่นอนว่าปัจจัยที่เคยพูดถึงไปแล้วในรายงานหลายฉบับก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นตัวการันตีได้ว่าการลงทุนในประเทศกลุ่มนี้มีความน่าสนใจถึงแม้จะมีความผันผวนมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม

เป็นอันว่านอกจากข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ และแนวโน้มการเติบโตต่างๆ แล้ว จังหวะและช่วงเวลาของการลงทุนนับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะสร้างรอยยิ้มให้นักลงทุน หรือคราบน้ำตา ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากที่มองและตั้งคำถามมากมายในส่วนของประเทศจีนและอินเดีย ปัจจุบันสำหรับสหรัฐอเมริกาก็มีคำถามออกมาเช่นกันว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหันกลับไปลงทุนในประเทศมหาอำนาจแห่งนี้?

พิชา รัตนธรรม หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด บอกถึงเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมามุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐนักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างกังวลถึงขั้นแขยง เนื่องจากเห็นสหรัฐเเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว จึงให้ความสนใจการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมากกว่า แต่ในช่วงที่อะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะในขณะที่สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน การลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ปัจจัยที่ ผู้จัดการกองทุนท่านนี้มองว่า น่าจะเป็นส่วนสนับสนุนให้การลงทุนสหรัฐกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง ประกอบด้วย...
1. คาดการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2010
2.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นอื่นๆ (Laggard) โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชีย ยกเว้นญี่ปุ่น
3.การที่เศรษฐกิจสหรัฐผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 ของปีนี้
4.การที่เงินทุนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ(มันนี่มาร์เก็ต) ทำให้เป็นไปได้ว่าในอนาคตเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น เงินทุนเหล่านี้จะไหลกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น อย่างตลาดหุ้นได้
5.การที่มูลค่า P/E (อัตราส่วนต่อกำไรสุทธิ) ของหุ้นสหรัฐฯ ยังต่ำอยุ่เมื่อเทียบกับระดับสูงสุดก่อนเกิดวิกฤตเมื่อปี 2000
6.นักวิเคราะห์เริ่มทยอยปรับตัวเลขคาดการณ์ผลตอบแทนจาการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่น่าจะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สุดท้าย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจและต่อสถาบันการเงินของประเทศดีขึ้น

ปัจจัยทั้งหมดข้างต้น หากอธิบายให้ชัดน่าจะแยกเป็น 2 ส่วนคือ ปัจจัยด้านการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และปัจจัยพื้นฐานของตลาด
ทั้งนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจนั้น พิชา มองว่า เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดจากปัญหาที่เกิดขึ้นไปแล้วในช่วงไตรมาส 2 ของปีนนี้ โดยหลังจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐน่าจะมีการฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2553 และจะเห็นได้จากสัญญาณการฟื้นที่ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 และน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นต่อไป

“จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์มองว่าในไตรมาสสามของปีนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
ที่ร้อยละ 1.5 รวมถึงตัวเลขการจ้างงานที่ผ่านจุดวิกฤตไปแล้ว และปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน"นายพิชากล่าว

สรุปแล้วการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนับเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาคึกคักมากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นไปตามคาดการณ์และตัวเลขที่ออกมา เป็นไปได้ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจก็จะกลับมาส่งผลดีต่อตลาดหุ้นได้ตามที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้เงินทุนที่อยู่ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ(มันนี่มาร์เก็ต) กลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้นต่อไป

ในส่วนของปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐน่าสนใจมากขึ้นนั้น นายพิชา ให้น้ำหนักอยู่กับ 2 ประเด็นด้วยกันคือ ราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ และการปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐที่ช้ากว่าตลาดหุ้นอื่นๆ

"ที่ผ่านมาตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวดีตามเศรษฐกิจไปแล้วกว่า 40% แต่สหรัฐถึงจะรีบาวน์แต่ก็น้อยไม่ถึง 10% การที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังวิ่งไล่หลังตลาดหุ้นอื่น (Laggard) ทำให้มีอัพไซด์ในขาขึ้นอยู่ค่อนข้างมาก หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวตามที่คาดไว้จริงโอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นสหรัฐวิ่งแรงในไตรมาสที่4/52 ก็มี โอกาสที่นักลงทุนที่เข้าลงทุนในช่วงไตรมาสที่3/52 จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากกว่า 25-30% ก็มีสูงเช่นกัน"

นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นของสหรัฐก็ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีความน่าสนใจที่จะเข้าลงทุน โดยมูลค่าหุ้นของสหรัฐหากดูจากสัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) พบว่าปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ระดับ 13.6 เท่า ซึ่งปกติตลาดหุ้นสหรัฐเทรดอยู่ที่ P/E เฉลี่ย 20 เท่า ซึ่งมองในแง่มูลค่ายังถือว่าถูกยิ่งหากนักวิเคราะห์มีการปรับตัวเลขกำไรบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐขึ้นอีกตัวเลข P/E ก็จะต่ำลงไปอีกจากปัจจุบันที่นักวิเคราะห์คาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้า P/E จะอยู่ที่ระดับ 15.2 เท่า นั่นหมายความว่าการลงทุนในหุ้นของสหรัฐยังคาดหวังผลตอบแทนได้อีก

ฟังข้อมูลเบื้องต้นแล้วน่าสนใจที่เดียว เพราะเหมือนจะมีปัจจัยสนับสนุนอยู่เพียบ และเป็นมุมมองที่มีการวิเคราะห์มาอย่างถี่ถ้วน ซึ่งยิ่งมองก็ยิ่งดูเหมือนเป็นโอกาสดีและจังหวะที่เหมาะสมอย่างยิ่งต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ แต่อย่าลืมว่าการลงทุนย่อมมีความผันผวน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ตัวเลขที่ว่าดีขึ้นก็ใช่ว่าจะมาจากสมมุติฐานเดิมหรือเปล่า

อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าจะทำให้นักลงทุนมั่นใจคงเป็นแพ๊คเก็จกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐที่เริ่มมีผลลัพธ์ออกมาสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น เพราะหากพี่ใหญ่ล้มแล้วปลาซิวปลาสร้อยจะไปเหลืออะไร ส่วนจะตัดสินใจอย่างไรคงต้องแล้วแต่ใจของแต่ละท่านว่าจะรับความตื่นเต้น(เสี่ยง)ได้มากน้อยเท่าใดมากกว่า

พิชา รัตนธรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น