xs
xsm
sm
md
lg

การถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จบแล้ว...แต่เฟดยังคุมเชิง อย่างใกล้ชิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ธีรนาถ รุจิเมธาภาส
กรรมการผู้จัดการ บลจ. ทิสโก้

ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เป็นต้นมา ตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาหลายตัว อาทิเช่น ตัวเลขการขออนุญาตสร้างบ้าน ราคาหุ้น คำสั่งซื้อของผู้ผลิต ตัวเลขการว่างงานที่เริ่มทรงตัว คำสั่งซื้อสินค้าทุน เป็นต้น เริ่มส่งสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งทำให้ผู้ลงทุนเริ่มอุ่นใจขึ้นบ้างว่าการถดถอยทางเศรษฐกิจของโลกในครั้งนี้ได้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์มองว่าในไตรมาสสามของปีนี้ อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สองของปีนี้ และในไตรมาสสุดท้ายของปีก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกร้อยละ 1.7 เช่นกัน แต่จากการที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงในไตรมาสแรกของปี ทำให้หากพิจารณาทั้งปีนี้แล้วอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจของโลกยังติดลบอยู่ในระดับที่สูงถึงร้อยละ 2.5

อย่างไรก็ดี มีการคาดกันว่าในปีหน้าคือปี 2553 ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะกลับมาเป็นบวกทั้งปี โดยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.2 ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วในแถบยุโรป ซึ่งรวมทั้งอังกฤษ และญี่ปุ่น

แต่ทั้งนี้ ในปีหน้า อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ อาจจะยังสูงกว่าปัจจุบันเล็กน้อย คือร้อยละ 9.7 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ประมาณร้อยละ 1.7 ซึ่งจากการที่เศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในช่วงของการเริ่มฟื้นตัว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ธนาคารกลางของสหรัฐ ฯ หรือ เฟด จะยังพยายามคงอัตราดอกเบี้ย discount rate ในระดับเดิมคือที่ร้อยละ 0.25

อย่างไรก็ดี ตลาดพันธบัตรก็ได้ตอบรับการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังจะเห็นได้จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของพันธบัตรระยะยาวที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่าพันธบัตรระยะสั้นทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรมีความชันมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของพันธบัตรอายุ 10 ปี ที่เพิ่มขึ้นจากอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ณ สิ้นเดือนเมษายน มาเป็นร้อยละ 3.6 ต่อปี ในขณะนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ลงทุนในตลาดเริ่มมองว่าดอกเบี้ยอาจจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวนั่นเอง แม้ว่าเฟด จะพยายามส่งสัญญาณให้ผู้ลงทุนระวังเรื่องการฟื้นตัว ว่ายังเป็นช่วงเริ่มต้น ซึ่งอาจจะดูเปราะบาง ก็ตาม

สำหรับผู้ลงทุนในหุ้นแล้ว หากพิจารณาจากบทเรียนของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ และตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิค ซึ่งมีการปรับตัวของราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในระยะเวลาเพียง 6 -7 เดือน ก็น่าจะลองพิจารณาการลงทุนในหุ้นของสหรัฐฯ ไว้บ้าง เพราะจริงอยู่ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของยักษ์ใหญ่ประเทศนี้ แม้เพิ่งจะเริ่มต้นและมีความเสี่ยงรออยู่ข้างหน้าก็ตาม แต่หากการฟื้นตัวต่อเนื่องไปข้างหน้าราคาหุ้นของบริษัทในสหรัฐฯ ก็น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อย่างรวดเร็วไม่แพ้ใคร

ทั้งนี้ปัจจัยสนับสนุนถึงความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นของสหรัฐ ฯ ได้แก่

หนึ่ง เพราะตั้งแต่ต้นปีมาราคาหุ้นของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยมากเพราะนักลงทุนยังไม่วางใจนั่นเอง ดังนั้นจากการคาดการณ์ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้นในไตรมาสที่สามและสี่ของปีนี้ แล้วก็น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน

สอง แต่หากพิจารณาถึงมูลค่าหุ้นของสหรัฐฯ โดยดูจาก PE ratio ของตลาด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 13.6 เท่า เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ค่า PE ratio ของนักวิเคราะห์ใน อีก 12 เดือนข้างหน้าที่คาดว่า PE ของตลาดน่าจะอยู่ที่ 15.2 เท่า ก็เท่ากับว่าการลงทุนในหุ้นของสหรัฐฯ อาจจะคาดหวังผลตอบแทนได้สูงถึงร้อยละ 11.7 เป็นอย่างน้อย

สาม ยังมีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะเริ่มทยอยปรับตัวเลขการคาดการณ์ของผลกำไรของบริษัท ที่น่าจะเริ่มดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ เอง ทำให้อาจจะมีเซอร์ไพรส์ ของราคาหุ้น หากผลกำไรที่ประกาศออกมาเหนือความคาดหมายของผู้ลงทุน

และปัจจัยสุดท้ายที่สำคัญ ก็คือในขณะที่ค่าความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นของสหรัฐ โดยวัดจากดัชนีค่าความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ Credit Spread เริ่มปรับตัวลดลงมาต่ำกว่าระดับก่อนที่บริษัทวาณิชธนกิจ เลห์แมน จะล้มในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา แต่ดัชนีราคาหุ้น S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับตกลงมาอยู่ในระดับที่กว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ เลห์แมนล้มถึง 300 จุด

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าคุณจะยังลังเลใจถึงความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าจะยั่งยืนเพียงใด จะเป็นการฟื้นตัว แบบ w-shape recovery หรือไม่ แต่การที่ไม่ได้มีการกระจายหรือแบ่งเงินไปลงทุนในตลาดที่เพิ่งเริ่มปรับตัวขึ้น อย่างสหรัฐฯ ก็อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสที่ดีในการลงทุนได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้พร้อมก่อนการลงทุนครับ...
กำลังโหลดความคิดเห็น