xs
xsm
sm
md
lg

“กองทัพคนใต้” ฮึ่ม! เดินหน้า “กู้ชาติ” ลั่นไม่ปล่อย รบ.เปื้อนเลือด-ตร.ชั่วลอยนวล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวหาดใหญ่... รายงาน

เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 2 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นแรงกระตุ้นอย่างดีให้มวลชนจากทั่วทุกสารทิศ ทยอยเดินทางเข้าไปสมทบและร่วมชุมนุมทวงถามความยุติธรรมจากรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เดิมทีมีนโยบายจะเจรจาพูดคุยกับแกนนำพันธมิตรเพื่อลดความตึงเครียด โดยมอบหมายให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรัฐบาลในการเจรจา แต่แล้วท่าทีดังกล่าวก็เป็นเพียงฉากหน้าที่ปิดบังความชั่วร้ายของผู้นำรัฐบาลคนนี้เอาไว้ในเวลาชั่วครู่เท่านั้น

หางของผู้นำรัฐบาลที่โผล่ออกมาให้เห็นจึงทำให้มวลชนทั่วทุกสารทิศทยอยเคลื่อนพลไปสมทบการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลและสะพานมัฆวานอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก จนในที่สุดคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2551 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีมติให้แกนนำรุ่น 2 นำโดย นายสำราญ รอดเพชร นายศิริชัย ไม้งาม และ นายสาวิทย์ แก้วหวาน นำประชาชนเคลื่อนไปแสดงพลังไม่ไว้วางใจรัฐบาล ณ อาคารรัฐสภา ที่รัฐบาลจะใช้เป็นเวทีแถลงนโยบาย ก่อนเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม

เช้ามืดวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เสียงระเบิดที่ดังขึ้นต่อเนื่องหลายครั้งปลุกให้มวลชนพันธมิตรฯซึ่งเฝ้าอยู่หน้าจอเอเอสทีวี ตื่นขึ้นจากความหลับใหล และพบว่าภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามการจลาจลกำลังระดมยิงแก๊สน้ำตา สลายการชุมนุมของกลุ่มพี่น้องพันธมิตรฯ คนจำนวนมากต่างวิ่งหาที่หลบอย่างชุลมุน ในขณะที่บางส่วนตอบโต้ด้วยการขว้างปาขวดน้ำใส่ตำรวจ มวลชนหลายคนที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าจอทีวีเคยพบแก๊สน้ำตามาแล้ว เมื่อครั้งที่มีการเคลื่อนขบวนไปที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ครั้งนั้นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุมมีเพียงบาดเจ็บจากการถูกกระสุนยาง และระคายเคืองจากพิษของแก๊สน้ำตา

แต่ภาพที่ปรากฏในเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กลับมีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาด แขนขาด หลังเหวอะ ฯลฯ ปฏิกิริยาของประชาชนในส่วนภูมิภาคทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก และอีสาน ที่ทราบข่าวยิ่งเกิดความไม่พอใจรุนแรงมากขึ้น มีการรวมตัวกันแล้วเดินทางเข้าไปสมทบที่กรุงเทพฯ ทันที และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นคนภาคใต้ จึงเปรียบเสมือนเป็นหน้าที่ของพี่น้องชาวใต้ที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบและจัดการกับนายกฯ โดยพันธมิตรฯ 14 จังหวัดภาคใต้ ทั้งภาคใต้ตอนบนและภาคใต้ตอนล่าง ได้จัดรถทัวร์ไว้รองรับการเดินทางของมวลชนตั้งแต่ช่วงเช้า และตลอดทั้งวันชนิดที่แกนนำบางคนบอกว่า “เต็มออก เต็มออก ไม่อั้น”

โดยในส่วนของพันธมิตรสงขลาเพื่อประชาธิปไตย ที่ตามปกติจะจัดให้มวลชนเดินทางด้วยขบวนรถไฟ แต่ในวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา พฤติกรรมของนายกฯ คนใต้ ได้เป็นตัวเร่งให้คณะทำงานต้องจัดรถทัวร์ไว้คอยบริการมวลชนตลอดทั้งวัน “เต็มออก เต็มออก ไม่อั้น” ที่ทำได้เพราะได้รับน้ำใจจากพี่น้องประชาชนทุกวงการนำเงินมาบริจาคให้ตลอดทั้งวัน รวมแล้วเป็นจำนวนหลายแสนบาท เพียงพอต่อการจัดกิจกรรมการเมืองภาคประชาชน

มีการคาดการณ์กันว่า ขณะนี้มีพันธมิตรฯภาคใต้เดินทางไปสมทบกับการชุมนุมภายหลังเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม ไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นคน ยังไม่นับรวมที่ปักหลักอยู่ ณ ทำเนียบรัฐบาลและสะพานมัฆวาน รวมทั้งบริเวณโดยรอบอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นคน กลายเป็น “กองทัพคนใต้กู้ชาติ” ที่กำลังดำเนินภารกิจเช็คบิลนายกฯ คนใต้อย่างเข้มแข็ง

นอกจากนี้ วิเคราะห์กันว่า หาก “กองทัพคนใต้” เหล่านี้ได้ไปเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้การนำของแม่ทัพพันธมิตรฯ รุ่นที่ 2 โดยเฉพาะ นายสำราญ รอดเพชร และ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ซึ่งทั้งสองก็เป็นเลือดสะตอด้วยกัน การเคลื่อนไหวเขย่าบัลลังก์นายกฯ คนใต้หน้าเนื้อใจเสือ ก็จะมีพลังอย่างหาใดเปรียบ จะเป็นกองทัพการเมืองภาคประชาชนที่เข้มแข็งที่สุดที่ที่เคยมีมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลยุทธิ์ ว่าสองแม่ทัพคนใต้กับอีก 1 แม่ทัพจากตะวันออกคือนายศิริชัย ไม้งาม จะใช้วิธีใดในการเผด็จศึก

หากยึดเอาแนวทางตาต่อตา ฟันต่อฟัน เชื่อว่า นักรบกองทัพคนใต้กู้ชาติไม่หวั่นไหวอยู่แล้ว แต่วิธีนี้อาจจะตอบสนองความสะใจได้เพียงชั่วครู่ และจะคุ้มกันหรือไม่กับความสูญเสียที่จะตามมา รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ และสังคมวงกว้างอีกเป็นจำนวนมากอาจไม่เห็นด้วย แม้ลึกๆ จะอยากให้ทำก็ตาม เพราะคับแค้นที่ตำรวจฆ่าประชาชน

หากใช้แนวทางสันติ อหิงสา เป็นหลัก ก็ต้องมาคิดให้หนักว่าใช้สันติ อหิงสา กับคณะของคนที่ไม่มีสปิริต และไม่รู้จักสันติ อหิงสา จะได้ผลหรือไม่ จริงอยู่แม้คดียุบพรรคและคดีอื่นๆ ที่มีผลต่อรัฐบาลกำลังใกล้เข้าสู่การตัดสิน แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่ารัฐบาลทรราชจะยอมจำนน สิ่งที่ต้องคิดให้หนักอีกประเด็นคือจะทำอย่างไรไห้กองทัพประชาชนยังคงกำลังอยู่ในกรุงเทพฯ ให้นานและพียงพอต่อการดำเนินการใดๆ เพราะทุกคนต่างก็มีภาระหน้าที่รับผิดชอบและต้องทำมาหากิน เพราะไม่มีใครรู้ว่าเงื่อนไขในวันข้างหน้าเพียงพอที่จะจูงใจและเร้าให้ประชาชนจากส่วนภูมิภาคพร้อมใจกันเคลื่อนทัพเข้า กทม.เป็นจำนวนมากเหมือนช่วงวันที่ 7 ตุลาคม อีกหรือไม่

ไม่ได้ต้องการยุให้ใช้ความรุนแรงตอบโต้ แต่ในเมื่อมีกำลังอยู่ในมือแล้วก็เป็นโจทย์ที่แกนนำรุ่น 2 ซึ่งคงต้องรับภารกิจในการเคลื่อนพลออกไปปฏิบัติภารกิจตามจุดต่างๆ ต้องคิดให้หนักว่าจะเผด็จศึกอย่างไร เพราะขณะนี้ทหารพร้อมรอเพียงแม่ทัพสั่งการ

กองทัพคนใต้ที่รวมตัวกันอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นพลังสำคัญที่พันธมิตรทั่วประเทศให้การยอมรับ ขึ้นอยู่กับแกนนำทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 ว่า จะมอบหมายภารกิจให้กับพวกเขาอย่างไร แต่ที่มั่นใจได้เลยก็คือพวกเขาจะไม่ทิ้งแนวรบ ตราบใดที่สงครามศักดิ์สิทธิ์นี้ยังไม่จบและนายกฯ มือเปื้อนเลือด กับตำรวจชั่วยังลอยนวล!



กำลังโหลดความคิดเห็น