xs
xsm
sm
md
lg

อัยการเมืองคอนพร้อมให้ความเป็นธรรมสามีภรรยาเหยื่อห้างยักษ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นครศรีธรรมราช – สองสามีภรรยาเหยื่อห้างยักษ์-ผกก.เดินเครื่องนำพบอัยการ ขอความเป็นธรรมจากคดี สภาทนายรับลูกพร้อมช่วยยื่นฟ้องเพ่ง แฉห้างดังตัดตอนไล่พนักงานตัวการส่อพิรุธ

จากกรณีที่ นายชัยณรงค์ คำนวนจิตร์ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 208 หมู่ 6 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช อาชีพเจ้าของกิจการร้านเกม ใน ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย นางอมรรัตน์ แสนเสนา อายุ 37 ปี ช่างเสริมสวย สองสามีภรรยา เดินทางเข้ามาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ที่ชมรมนักข่าวจังหวัดนครศรีธรรมราช

กรณีที่ไปซื้อของในห้างต่างชาติแห่งหนึ่ง แต่ต่อมากลับถูกทางห้างแจ้งความว่าสองผัวเมียร่วมกันลักทรัพย์อย่างไม่เป็นธรรม ทั้งๆ ที่ไม่ได้กระทำผิดแม้แต่น้อย โดยเชื่อว่าพนักงานของห้างคือตัวการที่แท้จริงแต่กลับโยนความผิดมาให้กับลูกค้า โดย พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ ผกก.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช ได้ออกมายืนยันพร้อมที่จะให้ความเป็นธรรม และช่วยเหลือสองสามีภรรยาอย่างเต็มที่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเวลา 08.30 น.วันนี้ (6 พ.ค.) นายชัยณรงค์ คำนวนจิตร์ และนางอมรรัตน์ แสนเสนา สองผัวเมียได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ ผกก.ที่ห้องทำงานบน สภ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมเล่ารายละเอียดเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดให้ทราบ

หลังจากทราบรายละเอียดแล้ว ภายหลัง พ.ต.อ.ญาณพัฒน์ เปิดเผยว่า จากเรื่องราวที่ได้ฟังเชื่อว่าสองผัวเมียไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด แต่การลักทรัพย์วีซีดีซุกในกล่องโทรทัศน์ที่สองผัวเมียซื้อน่าจะเป็นฝีมือพนักงานของห้างเอง และทราบว่า ทางห้างไม่ได้ดำเนินคดีกับพนักงานและได้ไล่ออกจากงานไปแล้ว แต่ความเป็นจริงแล้วเชื่อว่าห้างน่าจะมีประวัติอยู่ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข้อมูลอยู่เลย

“ในการเสนอสำนวนของพนักงานสอบสวนมายังตน เพื่อให้เซ็นรับทราบในการส่งสำนวนต่อไปยังพนักงานอัยการนั้น ซึ่งเป็นการเซ็นไปตามกระบวนการและขั้นตอนปกติ และขณะนี้ขั้นตอนของสำนวนนั้นเสร็จแล้ว และเมื่อมีการเปิดเผยข้อมูลเช่นนี้ ผมได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวนระดับ รอง ผกก.หรือ สบ 3 นำสองผัวเมียเดินทางไปพบพนักงานอัยการ เพื่อหารือในการให้ความเป็นธรรมช่วยเหลือสองสามีภรรยาตามกระบวนการ และขั้นตอนที่มีอยู่ ซึ่งเป็นการชี้แจงและให้การกับพนักงานอัยการตามข้อเท็จจริงของสองสามีภรรยา และอาจจะนำมาสู่การสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ผมพร้อมที่ให้ความเป็นธรรมและช่วยเหลืออย่างเต็มที่

แต่เท่าที่สอบถามติดตามนั้น มีประเด็นที่พนักงานสอบสวนสงสัย คือ พนักงานห้างคนดังกล่าวเป็นพนักงานที่รู้จักกับฝ่ายผู้ต้องหารือไม่ และมีส่วนเข้าด้วยช่วยเหลือหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงถัดมาคือต้องดำเนินการกับพนักงานห้างรายนี้ด้วยไม่ใช่แค่เฉพาะ 2 สามีภรรยา” ผกก.สภ.เมือง กล่าวยืนยัน

ต่อมาพนักงานสอบสวน นายชัยณรงค์ และ นางอมรรัตน์ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานอัยการที่สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยพนักงานสอบสวนและสองสามีภรรยาได้เล่าเรื่องราวข้อเท็จจริงให้พนักงานอัยการฟังอย่างละเอียด และขอความเป็นธรรมจากอัยการจังหวัดด้วย

พนักงานอัยการจึงให้สองผัวเมีย เขียนข้อร้องเรียนขอความเป็นธรรมอย่างละเอียดถึงอัยการจังหวัด เพื่อนำมาใช้เป็นข้อพิจารณาประกอบสำนวนคดี และนำไปสู่กระบวนการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ต่อไป โดยทางพนักงานอัยการก็ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในทุกคดีอย่างเต็มที่ สร้างความดีใจให้กับสองผัวเมียเป็นอย่างมาก

นายชัยณรงค์ และ นางอมรรัตน์ กล่าวเปิดเผยว่า ตนดีใจมากที่ทุกฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องคดีที่ตนไม่ได้รับความเป็นธรรม เริ่มตั้งแต่นักข่าว ผกก.พนักงานอัยการและทนายความ ทุกรายที่เดินทางไปขอความช่วยเหลือได้พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทำให้ตนสบายใจขึ้น หายจากการวิตกกังวลและหายเครียด และมองว่าในสังคมทุกวันนี้ยังคงมีความยุติธรรมเหลืออยู่

“หากทางพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องในคดีนี้ ตนจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะยื่นฟ้องทางห้างในข้อหาแจ้งความเท็จหรือไม่ รวมทั้งการฟ้องเพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง เสียเวลาทำงานและค่าใช้จ่าย ในการวิ่งเต้นเรื่องคดีและเรียกร้องขอความเป็นธรรม ที่สำคัญที่สุด ตนอยากให้คดีของตนเป็นอุทาหรณ์เป็นตัวอย่างสำหรับประชาชนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อห้างยักษ์ใหญ่เช่นเดียวกับตน นอกจากนี้ อยากให้เรื่องนี้กระตุ้นจิตสำนึกของผู้บริหารองค์กรธุรกิจ รวมถึงตำรวจที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับประชาชนผู้บริโภคเป็นหลักด้วย” สองผัวเมีย กล่าว

ในขณะที่นายสมชาย ฝั่งชลจิตร์ ทนายความชื่อดังใน จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ดูจากเรื่องราวแล้วทางห้างยักษ์ใหญ่ระดับนี้ จะต้องมีระบบการตรวจสอบ หรือการป้องกันที่มีมาตรฐานมากกว่านี้ เพราะเมื่อตนบอกว่ากรณีนี้ไม่เข้าข่ายร่วมกันลักทรัพย์ เป็นเพียงการพยายามลักทรัพย์เท่านั้น ซึ่งทางห้างควรจะมีการตรวจสอบวงจรปิด ว่า การพยายามลักทรัพย์นั้นใครเป็นคนกระทำ แต่ตนทราบว่าทางห้างไม่มีกล้องวงจรปิด มันแปลกมากที่ห้างใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีวงจรปิด

“มันน่าสงสัยว่าทำไมทางห้างไม่แจ้งความดำเนินคดีกับพนักงาน และทำเพียงไล่ออก และมาแจ้งความดำเนินคดีกับลูกค้าที่ไม่น่าจะร่วมกระทำผิด เรื่องอย่างนี้ใครๆ ก็มองออกว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน โดยหากแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานอาจจะมีการสอบสวนสาวโยงไปถึงพนักงานหรือผู้บริหารคนอื่นๆ ที่ร่วมขบวนการนี้ด้วย มันจะยุ่งกันไปใหญ่เลยแค่ไล่ออกเพื่อตัดตอนคดีให้จบลงโดยลูกค้าเป็นเหยื่อ”

นายสมชาย กล่าวต่อว่า รูปแบบวิธีการของพนักงานห้างยักษ์ใหญ่บางแห่งในการฉ้อโกง ลักทรัพย์ของห้าง มีหลากหลายวิธีและมีขั้นตอนมากมายและทำกันเป็นขบวนการเชื่อมโยงหลายฝ่าย เช่นพนักงานขาย พนักงานเก็บเงิน พนักงานรักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่ตัวผู้บริหารบางคนอาจจะร่วมขบวนการด้วย สร้างความร่ำรวยให้กับพนักงานที่ร่วมขบวนการซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตประจำวัน พนักงานเหล่านี้มีรายได้จากค่าจ้างเงินเดือนไม่กี่พันบาท แต่สร้างบ้านราคาเป็นล้าน ขับรถยนต์หรู เป็นต้น มันสวนทางกับข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดเรื่องขึ้นตำรวจจะต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของห้าง แต่ตำรวจจะต้องสอบสวนสืบสวนอย่างจริงจังทำความจริงให้ปรากฏเพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชนตาดำๆ บ้าง

ในขณะที่นายธนาชัย เกตุโรจน์ กรรมการสภาทนายความ และกรรมการฝ่ายกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค จังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขบวนการหากินของพนักงานห้างยักษ์ใหญ่มีมานานแล้ว ตนจึงอยากให้ประชาชนผู้บริโภคทั้งถูกปรักปรำไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกรณีของนายชัยณรงค์ และนางอมรรัตน์ สองผัวเมีย มาปรึกษากับสภาทนายความในการต่อสู้คดี โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สภาทนายพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่

ในคดีนี้ หาก นายชัยณรงค์ และ นางอมรรัตน์ มาร้องเรียนกับสภาทนายความจังหวัดนครศรีธรรมราช เราก็พร้อมที่จะยื่นฟ้องอาญาและฟ้องเพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายให้ อย่างน้อยจะได้เป็นคดีตัวอย่างในการดูแลและให้ความคุ้มครองผู้บริโภค

พนักงานห้างรายหนึ่ง เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่รับทราบ มีความผิดปกติเกิดขึ้นด้วยธรรมชาติของการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างลักษณะเช่นนี้ จะมีพนักงานมาดำเนินการให้ทุกขั้นตอน ขั้นตอนที่สำคัญคือพนักงานจะเอาของออกมาทดสอบให้ดู หลังจากนั้น จะเก็บของลงไปในลังก่อนที่จะบริการเข็นไปให้ที่พนักงานเก็บเงินด้านหน้า

“ขั้นตอนนี้จะเป็นช่องทางที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะเผลอเรอ เมื่อทดสอบแล้วไม่มีปัญหาลูกค้าเกือบร้อยทั้งร้อยจะไม่ให้ความสนใจในการบรรจุลงในลังกระดาษมักจะดูสินค้าอย่างอื่นจากนั้นเมื่อบรรจุเสร็จถึงจะเดินตามพนักงานไปคิดเงินเป็นข้อสังเกตที่น่าสงสัย และเข้าใจว่าการไล่พนักงานออกไปเป็นข้อพิรุธเช่นกัน หากจับได้ในช่องเก็บเงินว่ามีการซุกซ่อนของเพิ่มไปจุดเก็บเงินย่อมเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ว่า เกิดความผิดปกติพนักงานรักษาความปลอดภัยและผู้จัดการต้องมาดูและแก้ปัญหา ตรงนี้เป็นเพียงการดำเนินคดีกับลูกค้า แต่ไม่ได้ดำเนินคดีกับพนักงาน เพียงแค่ไล่ออกดังนั้นพนักงานรายนี้ จึงเป็นคนกำความลับบางอย่างในห้างไว้ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะต้องมากกว่าพนักงานคนที่ถูกไล่ออกไปอย่างแน่นอน” พนักงานรายเดิมกล่าวในที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น