นครศรีธรรมราช - สองผัวเมียร้องนักข่าวขอความเป็นธรรม ถูกห้างดังแจ้งตำรวจจับข้อหาลักทรัพย์ หลังไปซื้อของพนักงานแอบใส่เครื่องเล่นวีซีดีในกล่องโทรทัศน์ ทั้งที่ของยังไม่ออกจากห้าง ทนายชี้พิรุธ เชื่อทำเป็นขบวนการ เพื่อปรักปรำลูกค้า งง ตร.ไม่รับแจ้งความ 2 ผัวเมียแจ้งกลับห้างดัง
วันที่ 5 พ.ค. ที่ชมรมนักข่าวจังหวัดนครศรีธรรมราช นายชัยณรงค์ คำนวณจิต อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 208 หมู่ 6 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช อาชีพเจ้าของกิจการร้านเกมส์คอมพิวเตอร์ ใน ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางอมรรัตน์ แสนเสนา อายุ 37 ปี ช่างเสริมสวย ภรรยา เดินทางเข้ามาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนกรณีที่ไปซื้อของในห้างแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช แต่ต่อมากลับถูกทางห้างแจ้งความว่าร่วมกันหลักทรัพย์
นายชัยณรงค์ และนางอมรรัตน์ เปิดเผยว่าเป็นสมาชิกและลูกค้าของห้างดังกล่าว สาขานครศรีธรรมราช ตนเคยไปซื้อโทรทัศน์เพื่อนำมาใช้ในร้านเกมส์จำนวน 3 เครื่อง และกำลังจะไปซื้ออีก 2 เครื่องแต่ทางห้างแจ้งว่าสินค้าหมดหากสินค้ามาวันไหนจะโทรไปแจ้ง จึงสั่งจองไว้ 2 เครื่อง ต่อมาในวันที่ 1 มี.ค.2551 ทางห้างได้โทรมาบอกว่าโทรทัศน์ที่จองไว้มาถึงแล้วขอให้ไปรับสินค้าและจ่ายเงินด้วย จึงแจ้งกลับไปว่าที่จองไว้ 2 เครื่องจะซื้อเพียงเครื่องเดียว และ ในเวลา 17.00 น. วันเดียวกันพนักงานของห้างได้บริการเข็นสินค้าไปให้ที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน พนักงานเก็บเงินได้แกะกล่องโทรทัศน์ดูก็พบว่ามีเครื่องเล่นวีซีดี 1 เครื่องซุกซ่อนอยู่ในกล่องโทรทัศน์ด้วย
ต่อมาผู้จัดการของห้างยักษ์ดังกล่าวเข้ามาชี้แจง โดยบอกว่าพนักงานของห้างคงจะทุจริตแอบขโมยเครื่องเล่นวีซีดีซุกซ่อนไว้ในกล่องสินค้าของลูกค้า จึงต้องแจ้งความเอาผิดกับพนักงานของห้าง จึงขอความร่วมมือจากนายชัยณรงค์ และนางอมรรัตน์ ให้ไปเป็นพยานให้ด้วยที่โรงพัก
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทั้งสองจึงไปโรงพักมี พ.ต.ท.อนันต์ เปาะทองคำ เป็นพนักงานสอบสวน สภ.เมือง แต่ผู้จัดการห้างยักษ์รายนี้ กลับพยายามจะแจ้งความกล่าวหาสองสามีภรรยาว่าร่วมกันลักทรัพย์ ซึ่ง พ.ต.ท.อนันต์ เปราะทองคำ ไม่รับแจ้งและชี้แจงกับผู้จัดการห้างว่า ทั้งสองไม่ได้ทำผิดเพราะยังไม่ได้มีการจ่ายเงินค่าสินค้าและสินค้าก็ยังไม่ออกจากห้างจะแจ้งความดำเนินคดีกับตนทั้งสองไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องพนักงานของห้างที่ทำความผิดไม่ใช่ตนทั้งสอง พ.ต.ท.อนันต์ จึงอนุญาตให้ตนกลับบ้านไป โดยตนได้แจ้งกับผู้จัดการห้างว่าหากจะขอความร่วมมืออะไรก็ให้ติดต่อกลับไปพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับห้างเสมอ
แต่ปรากฏว่าในวันที่ 11-12 เม.ย.ที่ผ่านมาได้มีหมายเรียกของตำรวจลงนามโดย พ.ต.ท.อนันต์ เปาะทองคำ ให้ตนทั้งสองไปพบในวันที่ 17 เม.ย. เนื่องจากถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ เมื่อทั้งสองได้รับหมายเรียกก็ตกใจมากและเดินทางไปพบ พ.ต.ท.อนันต์ตามนัดหมายและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ โดย พ.ต.ท.อนันต์ อ้างว่าวันแรกไม่รับแจ้งความแต่มารับแจ้งความภายหลัง ตนทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอแจ้งความกลับกับห้างยักษ์ดังกล่าวในข้อหาแจ้งความเท็จ ทำให้ตนเกิดความเสียหายและถูกดำเนินคดีแต่ทาง พ.ต.ท.อนันต์ ไม่รับแจ้งความอ้างว่าแจ้งไปก็ไม่มีความหมาย
ตนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงแจ้งกับ พ.ต.ท.อนันต์ ว่าจะไปหาทนายความเพื่อปรึกษาในเรื่องนี้และจะขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนเพื่อให้เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งทาง พ.ต.ท.อนันต์ กลับพูดว่าจะไปหาทนายความหรือนักข่าวอย่างไรก็ไม่มีความหมาย เมื่อตนกลับมาพบอีกครั้งโดยไม่มีทนายความและนักข่าวมาด้วยก็ถูก พ.ต.ท.อนันต์ พูดจาเยาะเย้ยว่า "เอ้าไหนล่ะทนายความและนักข่าวของคุณ" และพร้อมกับหัวเราะอย่างสบายใจ
สองผัวเมียเปิดเผยต่อไป อีกว่าขณะนี้ทาง พ.ต.ท.อนันต์ ได้สรุปสำนวนส่งอัยการเรียบร้อยแล้ว ทางอัยการได้นัดตนทั้งสองในฐานะผู้ต้องหาไปพบในวันที่ 2 มิ.ย. 2551 อย่างไรก็ตามเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและเป็นหลักฐานว่าตนทั้งสองไม่ได้ร่วมกระทำความผิด จึงได้เดินทางไปขอลงบันทึกประจำวันเรื่องที่เกิดขึ้นไว้กับ สภ.ลานสกา
เรื่องที่เกิดขึ้นตนทั้งสองขอยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ไม่เคยรู้จักกับพนักงานของห้าง และในวันที่ไปรับสินค้าที่ห้างก็ไม่ได้ดูหรือจับต้องสินค้าเลย ตนเสียความรู้สึกมากที่ทางห้างขนาดใหญ่ระดับนี้จะทำกับลูกค้าอย่างนี้ ตนเป็นคนบ้านนอกและเป็นสมาชิกลูกค้าที่ซื้อของจากห้างนี้มาตลอด
เรื่องที่เกิดขึ้นทางพนักงานของห้างน่าจะทุจริตกันเป็นขบวนการและกระทำกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยขอเพียงให้สินค้าถูกนำออกจากห้าง จากนั้นพนักงานที่ร่วมขบวนการคงจะตามไปเอาสินค้า โดยอ้างกับผู้ซื้อว่ามีสินค้านอกเหนือรายการที่ซื้อติดมาด้วย และหากมีการตรวจพบในลักษณะนี้ก็จะโยนความผิดมาให้กับลูกค้า ตนสอบถามจากผู้จัดการห้างว่าพนักงานคนที่เข็นสินค้ามาให้ตนที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินชื่ออะไร และตอนนี้อยู่ที่ไหน ผู้จัดการคนนี้กลับไม่ยอมบอกชื่อแต่อ้างว่าทางห้างได้ไล่พนักงานคนดังกล่าวออกไปแล้ว
สองสามีภรรยายังกล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ตนจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดและร้องเรียนพร้อมกับแจ้งความเอาผิดกับทางห้างและกับพนักงานสอบสวนที่ไม่รับแจ้งความกรณีที่ตนจะแจ้งความดำเนินคดีกับห้างในข้อหาแจ้งความเท็จ ถือว่าพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ และจะร้องเรียนขอความเป็นธรรมทั้งในส่วนผู้บังคับบัญชาของตำรวจ ศูนย์ดำรงธรรม และพนักงานอัยการ ให้ถึงที่สุดเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับประชาชนผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อของห้างใหญ่ๆ
ด้านพ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ ผกก.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช กล่าวว่าเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบในรายละเอียด จึงขอให้สองผัวเมียเดินทางมาพบตนในวันพรุ่งนี้เพื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมด โดยประเด็นที่สองผัวเมียยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหานั้นถือว่าทำถูกต้องแล้ว และตนจะมอบหมายให้ทาง รอง ผกก.สส.ช่วยติดตามคดีนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมต่อไป
ทางด้านนายสมชาย ฝั่งชลจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนภาคใต้และทนายความชื่อดังจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ฟังเรื่องราวแล้วไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะพนักงานของห้างคงจะทำในลักษณะนี้กันเป็นขบวนการ และหากจะปรักปรำกล่าวหาสองผัวเมียรายนี้ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ก็ถือว่ายังไม่เข้าข่ายลักทรัพย์ แต่เข้าข่ายพยายามลักทรัพย์ และต้องไปตรวจสอบหลักฐานโดยเฉพาะกล้องวงจรปิดว่าการพยายามลักทรัพย์ในกรณีนี้สองผัวเมียเกี่ยวข้องหรือไม่ และพนักงานสอบสวนก็ผิดปกติที่ไม่รับแจ้งความที่สองผัวเมียแจ้งกลับทางห้างข้อหา"แจ้งความเท็จ" ถือว่าพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“คดีนี้ถือว่าสิ้นสุดขบวนการของตำรวจแล้วเพราะตำรวจสรุปสำนวนและเสนอเรื่องมายังอัยการเรียบร้อยแล้ว จึงอยู่ที่ว่าอัยการจะพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้หากผมได้รับมอบหมายจากคุณชัยณรงค์ และคุณอมรรัตน์ สองผัวเมีย ผมพร้อมที่จะฟ้องทั้งทางเพ่งและอาญากับทางห้างและฟ้องดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนที่ไม่รับแจ้งความถือว่าปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” นายสมชาย กล่าวในที่สุด
วันที่ 5 พ.ค. ที่ชมรมนักข่าวจังหวัดนครศรีธรรมราช นายชัยณรงค์ คำนวณจิต อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 208 หมู่ 6 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช อาชีพเจ้าของกิจการร้านเกมส์คอมพิวเตอร์ ใน ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนางอมรรัตน์ แสนเสนา อายุ 37 ปี ช่างเสริมสวย ภรรยา เดินทางเข้ามาร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชนกรณีที่ไปซื้อของในห้างแห่งหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช แต่ต่อมากลับถูกทางห้างแจ้งความว่าร่วมกันหลักทรัพย์
นายชัยณรงค์ และนางอมรรัตน์ เปิดเผยว่าเป็นสมาชิกและลูกค้าของห้างดังกล่าว สาขานครศรีธรรมราช ตนเคยไปซื้อโทรทัศน์เพื่อนำมาใช้ในร้านเกมส์จำนวน 3 เครื่อง และกำลังจะไปซื้ออีก 2 เครื่องแต่ทางห้างแจ้งว่าสินค้าหมดหากสินค้ามาวันไหนจะโทรไปแจ้ง จึงสั่งจองไว้ 2 เครื่อง ต่อมาในวันที่ 1 มี.ค.2551 ทางห้างได้โทรมาบอกว่าโทรทัศน์ที่จองไว้มาถึงแล้วขอให้ไปรับสินค้าและจ่ายเงินด้วย จึงแจ้งกลับไปว่าที่จองไว้ 2 เครื่องจะซื้อเพียงเครื่องเดียว และ ในเวลา 17.00 น. วันเดียวกันพนักงานของห้างได้บริการเข็นสินค้าไปให้ที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน พนักงานเก็บเงินได้แกะกล่องโทรทัศน์ดูก็พบว่ามีเครื่องเล่นวีซีดี 1 เครื่องซุกซ่อนอยู่ในกล่องโทรทัศน์ด้วย
ต่อมาผู้จัดการของห้างยักษ์ดังกล่าวเข้ามาชี้แจง โดยบอกว่าพนักงานของห้างคงจะทุจริตแอบขโมยเครื่องเล่นวีซีดีซุกซ่อนไว้ในกล่องสินค้าของลูกค้า จึงต้องแจ้งความเอาผิดกับพนักงานของห้าง จึงขอความร่วมมือจากนายชัยณรงค์ และนางอมรรัตน์ ให้ไปเป็นพยานให้ด้วยที่โรงพัก
ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทั้งสองจึงไปโรงพักมี พ.ต.ท.อนันต์ เปาะทองคำ เป็นพนักงานสอบสวน สภ.เมือง แต่ผู้จัดการห้างยักษ์รายนี้ กลับพยายามจะแจ้งความกล่าวหาสองสามีภรรยาว่าร่วมกันลักทรัพย์ ซึ่ง พ.ต.ท.อนันต์ เปราะทองคำ ไม่รับแจ้งและชี้แจงกับผู้จัดการห้างว่า ทั้งสองไม่ได้ทำผิดเพราะยังไม่ได้มีการจ่ายเงินค่าสินค้าและสินค้าก็ยังไม่ออกจากห้างจะแจ้งความดำเนินคดีกับตนทั้งสองไม่ได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องพนักงานของห้างที่ทำความผิดไม่ใช่ตนทั้งสอง พ.ต.ท.อนันต์ จึงอนุญาตให้ตนกลับบ้านไป โดยตนได้แจ้งกับผู้จัดการห้างว่าหากจะขอความร่วมมืออะไรก็ให้ติดต่อกลับไปพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับห้างเสมอ
แต่ปรากฏว่าในวันที่ 11-12 เม.ย.ที่ผ่านมาได้มีหมายเรียกของตำรวจลงนามโดย พ.ต.ท.อนันต์ เปาะทองคำ ให้ตนทั้งสองไปพบในวันที่ 17 เม.ย. เนื่องจากถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ เมื่อทั้งสองได้รับหมายเรียกก็ตกใจมากและเดินทางไปพบ พ.ต.ท.อนันต์ตามนัดหมายและถูกแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ โดย พ.ต.ท.อนันต์ อ้างว่าวันแรกไม่รับแจ้งความแต่มารับแจ้งความภายหลัง ตนทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และขอแจ้งความกลับกับห้างยักษ์ดังกล่าวในข้อหาแจ้งความเท็จ ทำให้ตนเกิดความเสียหายและถูกดำเนินคดีแต่ทาง พ.ต.ท.อนันต์ ไม่รับแจ้งความอ้างว่าแจ้งไปก็ไม่มีความหมาย
ตนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงแจ้งกับ พ.ต.ท.อนันต์ ว่าจะไปหาทนายความเพื่อปรึกษาในเรื่องนี้และจะขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนเพื่อให้เปิดเผยเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งทาง พ.ต.ท.อนันต์ กลับพูดว่าจะไปหาทนายความหรือนักข่าวอย่างไรก็ไม่มีความหมาย เมื่อตนกลับมาพบอีกครั้งโดยไม่มีทนายความและนักข่าวมาด้วยก็ถูก พ.ต.ท.อนันต์ พูดจาเยาะเย้ยว่า "เอ้าไหนล่ะทนายความและนักข่าวของคุณ" และพร้อมกับหัวเราะอย่างสบายใจ
สองผัวเมียเปิดเผยต่อไป อีกว่าขณะนี้ทาง พ.ต.ท.อนันต์ ได้สรุปสำนวนส่งอัยการเรียบร้อยแล้ว ทางอัยการได้นัดตนทั้งสองในฐานะผู้ต้องหาไปพบในวันที่ 2 มิ.ย. 2551 อย่างไรก็ตามเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและเป็นหลักฐานว่าตนทั้งสองไม่ได้ร่วมกระทำความผิด จึงได้เดินทางไปขอลงบันทึกประจำวันเรื่องที่เกิดขึ้นไว้กับ สภ.ลานสกา
เรื่องที่เกิดขึ้นตนทั้งสองขอยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ไม่เคยรู้จักกับพนักงานของห้าง และในวันที่ไปรับสินค้าที่ห้างก็ไม่ได้ดูหรือจับต้องสินค้าเลย ตนเสียความรู้สึกมากที่ทางห้างขนาดใหญ่ระดับนี้จะทำกับลูกค้าอย่างนี้ ตนเป็นคนบ้านนอกและเป็นสมาชิกลูกค้าที่ซื้อของจากห้างนี้มาตลอด
เรื่องที่เกิดขึ้นทางพนักงานของห้างน่าจะทุจริตกันเป็นขบวนการและกระทำกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยขอเพียงให้สินค้าถูกนำออกจากห้าง จากนั้นพนักงานที่ร่วมขบวนการคงจะตามไปเอาสินค้า โดยอ้างกับผู้ซื้อว่ามีสินค้านอกเหนือรายการที่ซื้อติดมาด้วย และหากมีการตรวจพบในลักษณะนี้ก็จะโยนความผิดมาให้กับลูกค้า ตนสอบถามจากผู้จัดการห้างว่าพนักงานคนที่เข็นสินค้ามาให้ตนที่เคาน์เตอร์จ่ายเงินชื่ออะไร และตอนนี้อยู่ที่ไหน ผู้จัดการคนนี้กลับไม่ยอมบอกชื่อแต่อ้างว่าทางห้างได้ไล่พนักงานคนดังกล่าวออกไปแล้ว
สองสามีภรรยายังกล่าวต่ออีกว่า อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ตนจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดและร้องเรียนพร้อมกับแจ้งความเอาผิดกับทางห้างและกับพนักงานสอบสวนที่ไม่รับแจ้งความกรณีที่ตนจะแจ้งความดำเนินคดีกับห้างในข้อหาแจ้งความเท็จ ถือว่าพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ และจะร้องเรียนขอความเป็นธรรมทั้งในส่วนผู้บังคับบัญชาของตำรวจ ศูนย์ดำรงธรรม และพนักงานอัยการ ให้ถึงที่สุดเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับประชาชนผู้บริโภคที่ตกเป็นเหยื่อของห้างใหญ่ๆ
ด้านพ.ต.อ.ญาณพัฒน์ นรสิงห์ ผกก.สภ.เมือง นครศรีธรรมราช กล่าวว่าเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบในรายละเอียด จึงขอให้สองผัวเมียเดินทางมาพบตนในวันพรุ่งนี้เพื่อสอบถามเรื่องราวทั้งหมด โดยประเด็นที่สองผัวเมียยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดและให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหานั้นถือว่าทำถูกต้องแล้ว และตนจะมอบหมายให้ทาง รอง ผกก.สส.ช่วยติดตามคดีนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมต่อไป
ทางด้านนายสมชาย ฝั่งชลจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนภาคใต้และทนายความชื่อดังจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า ฟังเรื่องราวแล้วไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะพนักงานของห้างคงจะทำในลักษณะนี้กันเป็นขบวนการ และหากจะปรักปรำกล่าวหาสองผัวเมียรายนี้ในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ก็ถือว่ายังไม่เข้าข่ายลักทรัพย์ แต่เข้าข่ายพยายามลักทรัพย์ และต้องไปตรวจสอบหลักฐานโดยเฉพาะกล้องวงจรปิดว่าการพยายามลักทรัพย์ในกรณีนี้สองผัวเมียเกี่ยวข้องหรือไม่ และพนักงานสอบสวนก็ผิดปกติที่ไม่รับแจ้งความที่สองผัวเมียแจ้งกลับทางห้างข้อหา"แจ้งความเท็จ" ถือว่าพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
“คดีนี้ถือว่าสิ้นสุดขบวนการของตำรวจแล้วเพราะตำรวจสรุปสำนวนและเสนอเรื่องมายังอัยการเรียบร้อยแล้ว จึงอยู่ที่ว่าอัยการจะพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้หากผมได้รับมอบหมายจากคุณชัยณรงค์ และคุณอมรรัตน์ สองผัวเมีย ผมพร้อมที่จะฟ้องทั้งทางเพ่งและอาญากับทางห้างและฟ้องดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวนที่ไม่รับแจ้งความถือว่าปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” นายสมชาย กล่าวในที่สุด