“บางร้านเขาจะมีอย่างเดียวแต่เขาก็ยูนิคไปเลยว่าอย่างนี้เขาเด่น แต่เราจะทำแตกต่างคือเราไม่ ที่เราทำหลากหลายเราได้ความคิดจากลูกค้าแต่ก่อนต้องการสินค้าตัวนี้เขาต้องวิ่งไปร้านนั้นเขาต้องการอย่างนี้เขาวิ่งมาร้านเรา ก็บอกทำไมไม่จบที่เรา เราทำให้
พอเราเห็นช่องทางว่าลูกค้าไม่ต้องวิ่งไปหลายที่ นี่! เราทำให้หมดมันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่า เราพยายามทำสินค้าให้มันหลากหลายมากขึ้น ทั้งชิ้นเล็ก-ชิ้นใหญ่ ทั้งหลายประเภท งานค็อกเทลเราก็มี งานสแน็คบ๊อกซ์เราก็มี งานเบคเป็นชิ้นใหญ่เราก็มี เพราะฉะนั้นอันนี้ ความแตกต่างตรงนี้ที่ลูกค้าหาไม่ได้จากร้านอื่น หรือหาได้ แต่เราก็มั่นใจว่าที่เราเยอะสุด” สิรินทิพย์ ประเสริฐภักดี หรือคุณเน เจ้าของแบรนด์ ‘finallyme’ Bakery ร้านขายขนมและธุรกิจรับจัด Snack Box ซึ่งเปิดมานานมากกว่าสิบปีแล้ว จากคนชอบทำขนม เพราะเคยเห็นคุณย่ากับคุณแม่ทำขนมขายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ได้คอยช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่อย ๆ ซึมซับจนกลายเป็นความชอบและแปรเปลี่ยนสู่ “ธุรกิจ” เป็นอาชีพหนึ่งเดียวในชีวิตที่ยึดทำมา
จบ Food Science ชอบทำขนมไปเรียนต่อให้ถึงแก่นที่ “กอร์ดองเบลอ”
เราชอบเรื่องการทำขนม เรียนอะไรดี? ตอนนั้นก็เลยเลือกเรียน Food Science ก่อนที่ ม.เกษตรศาสตร์ มันก็เกี่ยวกับขนมแต่ว่ามันก็จะไม่ได้เชิงลึก แต่มันจะเป็นเชิงอุตสาหกรรมมากกว่า วิธีการ กระบวนการ การถนอมหรืออะไรต่าง ๆ พอเราจบฟู้ดไซน์แล้วเราก็รู้สึกว่าเราอยากทำขนมจริงจังแล้ว เราก็ไปเรียนต่อดีกว่า“ไปเรียนต่อที่ Le Cordon Bleu Australia ที่ซิดนีย์ ไปเรียนมา 1 ปี แล้วก็ไปฝึกงานที่เมลเบิร์นอีกปีนึง เพราะว่าคอร์สของเขาจะเรียนสั้น ๆ มันจะเป็น Certificate สั้น ๆ มี 3 คอร์ส ตั้งแต่เบสิกจนถึง Superior ก็คือถึงขั้นสูงสุดเลย อันนี้ระยะเวลาเนเรียนประมาณ 7-8 เดือน แล้วก็ที่นั่นมันมีฝึกงาน1 ปี เนก็เลือกไปฝึกงานที่เมลเบิร์น”หลังจากนั้น คือไปเรียนมันเรียนได้พื้นฐาน แต่พอเรากลับมาแล้วเรามาทำเองจริง ๆ แล้ว มันไม่เหมือนที่เราเรียน เพราะฉะนั้นเราต้องไปหาความรู้เพิ่มเติมเข้ามาอีก“คือเราเรียนทางฝั่งโน้นกับ Ingredients หรือวัตถุดิบของไทยกับของทางโน้น มันไม่เหมือนกัน เช่น นมที่นู่นเขาค่อนข้างที่จะ นมออสเตรเลียขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเป็นนมที่ดี แต่พอเรามาประยุกต์ใช้กับนมที่ไทยในสูตรเดียวกัน เราทำที่ต่างกันออกมาไม่เหมือนกัน” เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับว่ากลับมาเมืองไทย มาเริ่มใหม่อีกรอบหนึ่ง ไปเรียนเพิ่มเติมสถาบันในไทยซิ! มีที่ไหนเปิดสอน เราก็เรียนตั้งแต่คอร์สสั้น ๆ จนถึงคอร์สยาว ๆ อย่างเช่น UFM เขามีเปิดคอร์สเบสิกขนมปัง“สมัยก่อนยูเอฟเอ็มเป็นอะไรที่ ได้รับความนิยมมาก การถ้าจะประกอบอาชีพเราต้องไปเรียนที่นี่ ถ้ายูเอฟเอ็มเราเรียนคอร์สยาว เรียนคอร์สยาวมา 1 คอร์ส หลังจากนั้นเราก็เรียนที่อื่นไปเรื่อย ๆ อันไหนเป็นคอร์สสั้นเราก็เก็บมาเรื่อย ๆ แล้วเอามาทำเอง”พอเราทำได้สักระยะหนึ่งมันก็จะปรับเข้ามาได้เป็นของเราเอง กลับมาไทยเรียนก่อนเกือบ 1 ปี แล้วค่อยเริ่มทำเองประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็เปิดร้านมา 1 ปีก็ค่อย ๆ เพิ่มเติมมีลูกค้าเพิ่มเติมก็ค่อย ๆ ขยายค่อย ๆ พัฒนาสินค้าตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็น่าจะประมาณ 2-3 ปีกว่าที่จะคิดว่า เออเนี่ยมันใช่แล้ว
เบเกอรี่ในกระแสหรือคุณมีงบแค่ไหนก็เลือกได้ที่ ‘finallyme’
รสชาติของคนไทยชอบแบบไหน ถ้าเราไปแนวฝรั่งจ๋าเลยมันก็จะออก “เปลือกแข็ง ข้างในเหนียว” บางคนจะยังไม่ชอบ (ในยุคนั้นนะ) แต่ถ้าเทียบกับยุคนี้โอเคขนมปังแนวนั้นเริ่มเข้ามาแล้ว“ถ้าในยุคนั้นก็คือคนจะชอบขนมปังนุ่ม ขนมปังนุ่มคล้าย ๆ สไตล์ญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นเราก็จะประยุกต์ให้เป็นขนมปังเขาเรียกว่า Sweet Bread เป็นขนมปังหวานที่มีการใส่ไส้ เช่น ไส้ครีม หมูแดง ไส้ไก่ ฯลฯ ซึ่งเราจะเป็นสไตล์แบบนั้น คือลักษณะเป็นขนมปังเหนียวนุ่ม”คือเราต้องเอาฟีดแบ็คจากลูกค้ามาเพื่อพัฒนาของเราไปเรื่อย ๆ คือเราต้องฟัง คือในการทำขนมหรือในการทำธุรกิจนอกจากเราจะทำแล้วมีความมั่นใจของเราแล้วว่า สูตรฉันแน่ ฉันว่าฉันอร่อย แต่เราก็ต้องฟังลูกค้าเพราะว่าลูกค้า เขาจะเป็นฟีดแบ็คให้เราพัฒนาต่อไปถ้าเราหยุด แล้วเราไม่ฟังเขาเลยเราคิดว่าเราโอเค เราใช้ได้แล้วเราไม่ฟัง เราก็จะอยู่ได้แค่ตรงนี้ มันก็จะไม่สามารถพัฒนาสูตรต่อไปได้เรื่อย ๆ
เปิดร้านก็ยังไม่ได้เป็นสแน็คบ๊อกซ์ ก็ขายหน้าร้านก่อน ทีนี้พอดูแล้วหน้าร้านช่วงแรกมันก็(มันดี) หลังจากนั้นมันรู้สึกว่าคนแถวนี้มันก็น่าจะเริ่มเบื่อถ้างั้นเราต้องเริ่มขยายตลาดมากขึ้น เราก็เห็นโอกาสว่าคน“พี่สาวทำงานออฟฟิศเขาก็เห็นว่ามันมี “สแน็คบ๊อกซ์” จากเจ้าอย่างนี้มาลองทำไหม? ในเมื่อเราเป็นเบเกอรี่เหมือนกัน เราก็น่าจะทำได้เหมือนกัน” อันนั้นก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าเรามาทำ “สแน็คบ๊อกซ์” ดีกว่า ก็เลยเป็นการ หลังจากเปิดร้านมาประมาณ 2 ปีก็เลยเริ่มทำสแน็คบ๊อกซ์ “เราเป็น One Stop Service คือลูกค้ามาจบที่เราได้เลย ต้องการอะไรแจ้งเราได้เลย คอนเซ็ปต์นี้มาตั้งแต่แรกตั้งร้านเลย เพราะว่าการตั้งร้านเราต้องวางคอนเซ็ปต์ก่อนว่า ร้านเราอยากคอนเซ็ปต์ไปทางด้านไหน เราถึงจะให้บริการลูกค้าได้ถูกทาง ถ้าเราตั้งคอนเซ็ปต์ว่า ‘finallyme’ ลูกค้าจะมาแนวไหนก็ตาม เรารับมือได้หมด เราพร้อมรับลูกค้าทุกประเภท เพราะฉะนั้นมาที่เราได้เลย finally me คุณจบที่เรา แนวไหน สไตล์ไหนมาได้หมด” ทุกวันนี้ “เทรนด์” มี เช่น ทุกวันนี้ชิโอะปังที่กำลังได้รับความนิยม ลูกค้ารีเควสมาเราก็มีการประยุกต์และพัฒนาแล้วก็ทำสินค้าตัวนั้นออกมา ตอนนี้ซาวร์โดหรืออะไรที่กำลังได้รับความนิยมมาอีกทีเราก็จะพัฒนาสูตรตรงนั้นไปเรื่อย ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการ“คือเราทำทั้งสินค้าที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว กับสินค้ามาตามเทรนด์ เพราะฉะนั้นเราจะแยกสินค้าเป็น 2 แบบ ก็คือ เทรนด์มันก็จะมาช่วงหนึ่ง มันมาแล้วก็ไป แต่เราก็ต้องตามสินค้าตรงนั้นให้ทันตลาดไม่งั้นร้านเรากลายเป็นร้านล้า(ล้าหลัง) มันก็ตามคู่แข่งไม่ทัน”
ที่ร้านจะแบ่งออกเป็น 3 แผนก แผนกขนมปัง เค้ก และก็พาย เพราะฉะนั้นหลัก ๆ ถ้า “เค้ก” ที่มาบ่อย ๆ เลยสำหรับจัดเบรกประชุมก็จะเป็นพวกมัฟฟิน บราวนี่ เป็นเค้กที่ไม่ต้องแต่งหน้ามาก ทานง่ายไม่ต้องมีครีมเพราะว่ามีครีมมันก็จะเลอะเทอะในที่ประชุม อันนั้นก็คือหลัก ๆ เลยที่มีอยู่ส่วนแผนก “พาย” ยังไงก็ต้องมีพายแต่พายเราก็ต้องแยกก่อนว่า ลูกค้า ถ้าเป็นผู้ใหญ่เราก็จมีการขึ้นรูปอีกแบบหนึ่งให้การร่วงหรือการอะไรมันน้อยลง สามารถทานหมดในคำเดียวเพราะฉะนั้นมันก็จะสะดวกไม่ร่วงไม่เลอะ แผนกพายเราก็จะมีทำพวกพาย ประกอบเบอร์เกอร์ ทำแซนวิช อะไรอย่างเงี้ยที่ออกต่อวันอยู่แล้ว ส่วน “ขนมปัง” ก็ไส้พื้นฐานเลยเบสิก ขนมปังไส้กรอก ขนมปังหมูหยอง หรือถ้าช่วงนี้เราก็จะมีแปลกใหม่อีกหน่อยนึงก็คือเราจะมีเป็นพวก โมจิ โมจิเผือก โมจิถั่วแดง เราจะเน้นเหมือนสไตล์ญี่ปุ่นมีการประยุกต์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน “แล้วเราก็จะมีกรณีลูกค้าที่เป็น customize ก็คือเป็นลูกค้าที่เฉพาะว่าอยากได้แบบนี้ เอาสินค้าเอาตัวอย่างมาให้เราผลิต หรือเรารับทำ OEM ให้กับลูกค้าด้วย คือบางเจ้าเขา OEM เช่นเขาอยากได้สินค้าตัวนี้ไปวางขายของร้านเขาโดยเฉพาะ เราก็จะมีการคุยกันแล้วก็พัฒนาสูตรให้เขา มันจะเป็นการคุยกันว่าเราจะทำให้เขาเจ้าเดียวเราจะไม่ทำให้ที่อื่น” ถึงบอกว่า finally me ก็คือคุณมาเถอะ ยังไงคุณมาจบได้ที่เราแน่นอน
ถ้าสินค้าตัวที่แจ้งเกิดของเรา จริง ๆ มันไม่ได้แตกต่างแต่อยู่ที่ดีไซน์ มันจะเกิดจากการดีไซน์มากกว่าอย่างเช่น ของเราที่มันต่างจากที่อื่นเลย “ซูชิ” ซูชิปกติแล้วมันจะเป็น “ข้าว” ทางร้านเราก็อะแด๊ปเป็นใช้ขนมปังแต่เราปั้นให้เหมือนซูชิ ลูกค้าบางคนอาจจะเบื่อข้าวเราก็ใช้เป็นขนมปังละกัน มันก็เหมือนแซนวิชแหละแต่เราเปลี่ยนหน้าตาให้มันเหมือนซูชิเราก็จะม้วนข้างนอกก็เป็นสาหร่าย ข้างในเราก็จะเป็นพวกไก่ทอด เป็นยำสาหร่าย หรือเป็นไข่กุ้ง เราก็ม้วนเข้าไปทำเป็นคำ ๆ คล้าย ๆ ซูชิ เราก็จะเรียกว่าเป็นขนมซูชิโรล มันก็จะทั้งไส้แฮม ไส้ไก่ ฯลฯ มีไข่หวานก็จะแปะด้านบน ปูอัดเราก็จะแปะด้านบน แล้วก็จะพันสาหร่ายด้านบนเป็นเส้น ๆ ให้ออกมาลักษณะคล้าย ๆ เป็นซูชิเป็นคำ ๆ
One Stop Service รับปิดจบได้ไม่ว่างานด่วนแค่ไหน
อย่างการขึ้นรูปขนมปังหรืออะไรอย่างเงี้ยค่ะ เราพยายามเปิดหน้าเราพยายามขึ้นรูปที่มันแตกต่างจากขนมปังที่เป็นก้อนกลมธรรมดา เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำสินค้าให้มันน่าดึงดูดน่าสนใจในการทาน “ก็คือหน้าตาโอเค พอชิมไปแล้วอึ้ยรสชาติใช้ได้ไม่แย่ อ้าวคุณภาพยังได้อยู่ เฮ้ยบริการใช้ได้ เพราะฉะนั้นมันก็เลยทำให้สแน็คบ๊อกซ์เราไปได้เรื่อย ๆ” ตอนแรกลูกค้าก็จะเป็นบริเวณใกล้ ๆ ใช้ลักษณะ “ปากต่อปาก” ทีนี้เราก็คิดว่าเออมันไม่พอเนาะ เราก็เลยทำการตลาดมากขึ้น“การตลาดของเราก็คือเราจะใช้ ลงใน Google บ้าง ลงใน facebook ลงใน IG ที่ทำเป็นการตลาดออนไลน์ อันนั้นก็คือทำให้เราได้ลูกค้าเพิ่มเติมเข้ามา” แต่จุดเด่นของเราคือหนึ่งสินค้าเราค่อนข้างเยอะ ข้อแตกต่างของเรากับร้านอื่นคือลูกค้าสามารถเลือกขนมเข้าใส่กล่องตัวเองได้เลย คุณชอบแบบไหน คุณมี Budget เท่าไหร่ เรา flexible ให้คุณได้หมด คุณจะมีงบอยู่เท่านี้แค่ 35 บาท แต่อยากได้ขนมแบบนี้ได้ไหม เราดูให้ เราจัดให้ได้ “คือเราจะมีเซ็ทพื้นฐานให้อยู่แล้ว Set A, Set B, Set C ให้ลูกค้าอยู่แล้วพื้นฐานแต่ถ้าลูกค้าไม่พอใจ อยากจะเปลี่ยนอะไรเข้ามาก็สามารถแจ้ง เราก็จะสามารถเปลี่ยนปรับให้ลูกค้าได้ตามความต้องการ”ไม่มีขั้นต่ำ ทางร้านไม่มีขั้นต่ำเลยลูกค้าจะสั่ง 5 กล่อง 10 กล่อง ทางร้านจัดส่งให้หมด เพียงแต่ว่าแจ้งมาต้องการแบบไหน จริง ๆ ล่วงหน้าสัก 2-3 วันก็จะดีมาก แต่ว่าถ้าด่วนจริง ๆ ก็ลองโทรมาสอบถามที่ร้านก่อนได้
สแน็คบ๊อกซ์ มันจะเริ่มต้นที่ 35 บาท (ขนม1 ชิ้น+น้ำ1 กล่อง) โดยขนมลูกค้าจะเลือกได้หมดเลย ขนมปัง เค้ก พาย ขนมอบ แซนวิช ได้ทุกตัว คู่กับน้ำ 1 กล่อง(น้ำผลไม้40%) แล้วก็จะไปที่ 50 บาทและก็ 65 บาท ก็จะเป็นขนม 2 + น้ำ1 กล่อง / ขนม 3 + น้ำ 1 กล่อง“เราดูความคุ้มค่า ราคาเราก็สมเหตุสมผล อย่างเซ็ทที่ยอดนิยมที่ลูกค้ามักจะสั่งบ่อย ๆ จะอยู่ในช่วง 50 บาท ประชุม สัมมนา หรืองานสวดอภิธรรม/งานขาวดำ เป็นต้น” สแน็คบ๊อกซ์ที่เคยทำมาต่อวันที่สั่งเยอะสุดคือ งานรับปริญญาของทางมหาวิทยาลัย(ม.หอการค้าไทย) อันนั้นวันละประมาณ 3,000 กล่อง ก็ถือว่าเป็นงานใหญ่งานหนึ่งที่เคยจัดมา ตอนนั้นอยู่ที่2 วัน แต่ถ้าแม็กซิมั่มของทางร้านเลยคือ 3,000 ชิ้น/วัน ทีนี้ถ้ามากกว่านั้นรับได้ไหม? รับได้ คือเราไม่ได้ทำตั้งแต่ต้นจนจบในวันเดียวถ้าเรามีการแพลนนิ่งที่ดีเราก็จะสามารถรับงานได้มากกว่านั้น ดังนั้นถ้าลูกค้าแจ้งงานเราล่วงหน้า เราก็จะสามารถผลิตได้ในวอลลุ่มที่ค่อนข้างสูง
ความสำคัญของ “หน้าร้าน” คือการมีตัวตนจริงในยุคออนไลน์
หน้าร้านนี้คือจริง ๆ แล้วมีเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่า “เรามีตัวตน” เผื่อลูกค้าอยากจะมาอย่างเราไม่รู้จักร้านนี้ แต่เราอยากรู้ว่าสินค้าร้านนี้รสชาติเป็นแบบไหน เราก็โอเค ถ้ามีหน้าร้านลูกค้าก็จะวอล์คอินเข้ามาขอชิมก่อน ถ้าเขาถูกใจกัน ค่อยสั่งกัน อันนี้ก็ไม่มีปัญหาแต่ถ้าเราไม่มีหน้าร้านลูกค้าก็จะไม่สามารถแบบเทสต์ได้เลยว่า สินค้าเราเป็นยังไง เรามีตัวตนไหม?“เพราะว่าทุกวันนี้ในโลกออนไลน์มันค่อนข้างเยอะ มีทั้งที่เป็นมิจฉาชีพก็เยอะ มีตัวตน ไม่มีตัวตน มีจริง ไม่มีจริง มันมีมากมายแต่ถ้าพอเรามี “ร้าน” ตรงนี้ขึ้นมาเล็ก ๆ ร้านไม่ต้องใหญ่มากให้ลูกค้ารู้ว่า เรามีตัวตน เราอยู่ตรงนี้เข้ามาชิมของเราได้ มันก็สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า”ไม่ต้องมาที่หน้าร้านเขาสั่งออนไลน์ได้ แล้วเราไปส่งถึงที่ อันนี้เปอร์เซ็นต์เทียบกันได้เลย 90% มาจากออนไลน์ 10% เท่านั้นที่มาจากหน้าร้าน
ถ้าเป็นสแน็คบ๊อกซ์เราจะไม่ส่งต่างจังหวัดที่ไกลมาก แต่ว่าเราจะมีสินค้าที่เรากำลังทำอยู่ก็คือเราจะเป็น “แช่แข็ง” อันนี้เราส่งทั่วประเทศ เรามีแตกไลน์ผลิตอีกแบรนด์หนึ่งของทางร้านอันนี้ทำเกี่ยวกับแช่แข็งโดยตรง เป็นพายแช่แข็ง ครัวซองต์แช่แข็ง เป็นเค้กแช่แข็ง“ลูกค้าก็ไปเวฟหรือตามร้านก็รับของเราไปแล้วก็ “อบ” คือหนึ่งเรามองแล้วว่า ‘finallyme’ คู่แข่งเยอะ เราทำยังไงที่เราจะทำให้รายได้เราเพิ่มขึ้นถ้าเราไม่ขยายร้าน แล้วสินค้าที่เราจะเสิร์ฟอีกแบรนด์หนึ่งมันเป็น เราทำอยู่แล้วเพียงแต่ เราแค่เปลี่ยนรูปว่าเรายังไม่ได้อบ เราไปต่อยอดให้กับร้านเบเกอรี่อื่น ๆ ที่เขาไม่ทำตรงนี้ เพราะว่าการทำพายการทำครัวซองต์มันค่อนข้างยาก”
“คู่แข่ง” ทำให้เราเติบโต
คู่แข่งเยอะมากขึ้นทุกวัน มีทั้งเจ้าเล็กและเจ้าใหญ่เราจะเห็นได้ชัดเพราะว่า ทุกคนต้องการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง และการทำเบเกอรี่มันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มันง่ายมาก ถ้าคุณไม่เป็นคุณแค่เปิดดูในยูทูบเริ่มหัดทำ ทำได้แล้ว เพียงแต่ว่าความชำนาญหรือว่าสูตรหรือความอร่อยของแต่ละคน โอเคมันก็จะมีเอกลักษณ์ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น “คู่แข่ง” เยอะมากทุกคนจะออกมาทำเป็นของตัวเอง “สิ่งที่ทำให้เราอยู่ได้คือความแตกต่าง และบริการ คือสองสิ่งนี้ทำให้เราสามารถยังอยู่ตรงนี้ได้ ต้องตามตลาดให้ทันค่ะหรือว่าต้องตามผู้บริโภคให้ทัน เพราะว่าผู้บริโภคสมัยนี้เบื่อง่าย เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีรสชาติใหม่หรือมีหน้าตามีลูกเล่นอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาหรือเขาอยากได้อะไรอย่างที่บอก เราก็ต้องเสิร์ฟเขาตลอดเวลา เพราะไม่งั้นลูกค้าเขาก็จะเปลี่ยนเพราะว่าคู่แข่งเยอะ มีหน้าตาแปลก ๆ เยอะเราต้องตามให้ทันเทรนด์ตามให้ทันลูกค้า” จริง ๆ คู่แข่งมันก็ คู่แข่งทำให้กดดัน ใช่ แต่คู่แข่งทำให้เรากระตือรือร้นมันทำให้เราพัฒนาเพราะว่าเราหยุดไม่ได้ เราหยุด=เราอยู่กับที่ แต่เขาเดินไปข้างหน้า ถึงแม้กระทั่งเราหยุด คนที่เริ่มทีหลังเรา เขาก็เดินมาทันเรา เราห้ามหยุด ถ้าเราหยุดเมื่อไหร่ คนมาทีหลังแซง คนอยู่ข้างหน้ายิ่งแซงเข้าไปใหญ่“เพราะฉะนั้นคู่แข่งทำให้เรากระตือรือร้นในการที่จะ เราต้องทำ เราต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ เราหยุดไม่ได้ ถึงแม้เราทำตรงนี้ดีแล้ว เราก็ต้องทำให้มันดีขึ้นไปอีก เราทำตรงนี้ได้แบบนี้แล้ว แล้วเราทำยังไงให้มันพลาดน้อยกว่าเดิม เราทำออกมาผลลัพธ์มันได้แล้วแหละแต่เราพลาดไป ตรงนี้มันพลาดไปเราเสียเวลาไป ของมันทิ้งเท่านี้เราก็ต้องปรับใหม่ทำยังไงของเสียน้อยลง ของทิ้งน้อยลง เวลาเร็วขึ้น”คือบางทีคู่แข่งทำให้เรา “เติบโต” ในธุรกิจนี้ด้วย ไม่ใช่แค่มาแย่งเรา แต่ทำให้เราเติบโตในธุรกิจนี้ ให้เราเปิดโลกให้มากขึ้น ให้เราพร้อมที่จะพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เราหยุดไม่ได้
ไม่ต้องรอให้ “พร้อม” อยากทำธุรกิจต้องเริ่มเลย!
เจ้าของแบรนด์ ‘finallyme’ Bakery คุณเน-สิรินทิพย์ ประเสริฐภักดี ยังบอกด้วย ถ้าในอนาคตที่มองคืออาจจะขยายกำลังการผลิตให้มากขึ้น แล้วก็โฟกัสเรื่อง “การแช่แข็ง” ให้มากขึ้น เพราะเป็นการแตกไลน์ไปอีกแบบหนึ่ง มันเติบโตจากธุรกิจตรงนี้ล่ะค่ะเพราะเราเห็นช่องทาง ว่ามันก็ยังมีคนที่ออกมาทำเบเกอรี่ทุกวันแล้วบางทีมันยาก โอเคทำได้ก็จริงแต่มันใช้เวลา เราต้องการประหยัดเวลาตรงนั้นให้เขา โดยการให้เขารับของเราไปแล้วก็คุณก็เอาไปขายได้เลย อันนั้นคือช่วยคนขายย่นระยะเวลา ลดต้นทุนของเขา
เป็นอาชีพเดียวในชีวิต?“ตั้งแต่จบมาไม่เคยไปทำงานที่ไหนเลย ไปแค่ไปฝึกงาน จริง ๆ อยากทำงานประจำก่อนเพราะคิดว่า ไม่มีประสบการณ์ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าการ Manage คนแบบไหน การ Manage ธุรกิจแบบไหน การจัดการในชีวิตตัวเองเป็นแบบไหนถ้ายังไม่เคยทำงานมาก่อนเลย” แต่พอดีมีที่ปรึกษาเป็น “พี่สาว” พี่สาวเขาก็ทำงานออฟฟิศมาตลอดเขาก็บอกว่า เขาทำงานออฟฟิศมาระดับหนึ่งแล้วแต่พออยากจะทำอะไรเป็นของตัวเอง มันก็จะมีความกล้า ๆ กลัว ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ว่าฉันจะออกมาทำอะไร หรือฉันออกมามันโอเคไหมกับตรงนี้ stable แล้วทำงานออฟฟิศมาทั้งชีวิต ตรงนี้อายุงานมาประมาณนี้มัน stable ในงานแล้ว ถ้าออกมาแล้วมันยังไง? มันต้องเริ่ม “ศูนย์”ใหม่มันไหวไหม? อันนี้กับเราที่ยังไม่เคยเริ่มอะไรเลย เราศูนย์อ่ะ เขาก็บอกถ้าศูนย์ก็ไปเลยตั้งแต่ศูนย์เริ่มไปเลยตั้งแต่แรก“เขาถามว่าพร้อม เมื่อไหร่พร้อม? กี่ปีพร้อม ไปทำงานกี่ปีเราคิดว่าตัวเองพร้อม 2 ปีพร้อมไหม? 3 ปีพร้อมรึยัง? เพราะฉะนั้นไม่ต้องรอทำตรงนี้ไปเลย แล้วระหว่างทางมันจะทำให้เราพร้อมเอง คือเราทำไปเรื่อย ๆ ทำไปอันนี้พลาด เราแก้ ทำอันนี้พลาดเราแก้ ทำอันนี้พลาดเราแก้ เราระหว่างทางเราแก้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นระหว่างทางที่แก้ตลอดเวลามันก็จะพร้อมของมันไปเอง สุดท้ายแล้วมันได้เอง” มันได้เองของมันไปเรื่อย ๆ ค่ะ ถ้าเรารอให้พร้อม ไม่ได้ทำธุรกิจสักที“ไม่ต้องพร้อม แค่บอกแค่ใจแค่คิดว่าชอบคิดว่าอยากทำ ทำไปเลย ไม่ต้องรอพร้อม เพราะพร้อมเมื่อไหร่พร้อม? ตอนพร้อมเขาพร้อมไปกับคุณหรือเปล่า ลูกค้าพร้อมไปกับคุณรึยัง ลูกค้าไม่พร้อมแล้ว คุณพร้อมแต่ลูกค้าไม่พร้อมธุรกิจก็ไปไม่ได้” เราก็ต้องเริ่มเลย
จากกอร์ดองเบลอสู่ร้านเบเกอรี่และสแน็คบ๊อกซ์ที่ลูกค้าเลือกเองได้ ‘finallyme’ 10 กว่าปีที่ยืนหยัดมา การมีใจรักในอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งแน่นอนว่า เราต้องบากบั่นและเพียรพยายามที่จะทำมัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีที่สุด‘finallyme’ Bakery คือตัวอย่างที่อยู่ในใจความนั้น และยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นในยุคนี้ซึ่งการทำธุรกิจเบเกอรี่เกิดการแข่งขันสูงมาก ๆ แม้จะมีความพยายามแตกไลน์ธุรกิจเพิ่มเพื่อช่วยขยายตลาด แต่ทว่าคู่แข่งก็ยังคงตามติดเกิดขึ้นมาเพิ่มเรื่อย ๆ เพราะทุกคนก็อยากออกมาทำธุรกิจเอง ขายยังไง? ขายใคร? นี่คือความยากท่ามกลางยุคนี้ที่การผลิตเริ่มกลายเป็นของง่ายใคร ๆ ก็เรียนรู้ได้ไม่ยากแล้ว ในความเหมือนแต่มี “ความแตกต่าง” จึงยังเป็นทั้ง “จุดแข็ง” และก็ “จุดขาย” ของแบรนด์ควบคู่ไปกับการไม่หยุดพัฒนา
สามารถติดตามผลงานหรือกำลังมองหาเบเกอรี่อร่อย ๆ อยากสั่งเป็น Snack Box ติดต่อได้ทาง FB : Finally Me เว็บไซต์https://www.finallymebakery.com หรือ โทร.093-524-2461
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด