ดีไซเนอร์สาวนำเอาแนวคิดการออกแบบแบรนด์ดิ้งให้กับลูกค้ามากมายหันมาออกแบบร้านขนมหวานให้ตัวเอง โดยเป็นธุรกิจ โดนัทสไตล์อเมริกัน พร้อมซิกเนอเจอร์ที่ต้องกินคู่กันระหว่าง โดนัทกับ Milkshake เปิดร้านได้แค่ 1 สัปดาห์มีลูกค้ารีวิวคับคั่ง พร้อมเอาใจลูกค้าที่ชื่นชอบการกินขนมหวานบวกกับถ่ายรูปลงโซเชียลที่กำลังฮิตในยุคปัจจุบัน
นางสาว วาสิกา อุดมธนสกุล เจ้าของธุรกิจโดนัทสไตล์อเมริกัน แบรนด์ Chubby dough เล่าว่า จุดเริ่มต้นของการเปิดร้านนั้นเริ่มมากจากที่เดิมทีนั้นเปิดสตูดิโอออกแบบที่มีตั้งแต่ ทำแบรนด์ให้กับลูกค้า สร้างโลโก้ แพ็คเกจจิ้งต่างๆ บวกกับส่วนตัวเป็นคนชอบทำขนมและชอบกินขนมเป็นประจำ ซึ่งจากที่เปิดสตูดิโอออกแบบแบรนด์ให้กับคนอื่นมาจำนวนมากเลยมีความคิดที่ต้องการสร้างเป็นแบรนด์ตัวเองดูบ้าง ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นและที่มาของการเปิดร้านโดนัท ทั้งนี้ตัวร้านเพิ่งเริ่มต้นเปิดขายได้ประมาณ 1 สัปดาห์
ทั้งนี้จุดเด่นและความพิเศษของตัวสินค้านั้นด้วยความที่ตนชอบกินขนมเป็นประจำจึงต้องการหาสิ่งที่อร่อยมาให้คนอื่นกินด้วย โดยส่วนตัวนั้นไม่ชอบกินหวานมาก จะชอบรสชาติที่กลมกล่อมมากกว่า เพราะฉะนั้นรสชาติของตัวโดนัทก็จะมีรสชาติหวานน้อย นอกจากนี้เนื่องจากเพิ่งเปิดตัวร้านได้ไม่นานทำให้เมนูภายในร้านยังคงมีเพียงไม่กี่อย่าง ซึ่งเมนูที่มีนั่นก็คือ โดนัทสไตล์อเมริกันที่กินคู่กับนมปั่น หรือ Milkshake ซึ่งตัวโดนัททางร้านไม่ได้ผลิตเองแต่จะมีโรงงานทำให้ ความพิเศษคือสามารถกำหนดกับทางโรงงานได้ว่าจะผลิตโดนัทให้ออกมาในเนื้อสัมผัสที่เหนียวกว่าโดนัททั่วไป โดยมีน้ำตาลไอซ์ซิ่งโรย พร้อมกินคู่กับ Milkshake ก็จะทำให้รสชาติของทั้งคู่อร่อยและเข้ากันได้เป็นอย่างดี รวมถึงเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านอีกด้วย
นอกจากนี้เมนูซิกเนอเจอร์นั้นจะเป็น Milkshake สตรอเบอร์รี่ ที่เป็นสูตรของทางร้านโดยเฉพาะ โดยมาผสมผสานเข้ากับแยมสตรอเบอร์รี่ที่เมื่อผสมกันแล้วจะให้รสชาติที่ไม่หวานมากบวกกับความเปรี้ยวเล็กน้อย และเมื่อกินคู่กันก็จะได้รสชาติที่อร่อยถูกปากลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้โดนัทของทางร้านจะเป็นสไตล์อเมริกัน ซึ่งความพิเศษอยู่ตรงที่จะมีเนื้อสัมผัสที่เหนียวกว่าโดนัททั่วไป รวมถึงมีกลิ่นน้ำมันมากกว่าและเนื้อจะฟูมากกว่า ซึ่งโดนัทสไตล์อเมริกันนั้นจะไม่นุ่มละมุนเหมือนฝั่งเอเชีย
สำหรับกลยุทธ์ในการทำการตลาดนั้นทางแบรนด์จะเน้นการทำการตลาดแบบ Take Away หรือ ซื้อกับบ้านมากกว่านั่งที่ร้าน เพราะตอนนี้ทางร้านมีที่นั่งรองรับลูกค้าจำนวนน้อย เนื่องจากเพิ่งเปิดร้านแต่จะมีมาเพิ่มในอนาคตแน่นอน ซึ่งกลยุทธ์ที่ทางร้านตั้งเป้าไว้คือ เป็นร้านที่ลูกค้าสามารถมาถ่ายรูปได้บวกกับได้กินขนมและเครื่องดื่มของทางร้านที่มีรสชาติถูกปากลูกค้าเป็นอย่างดี
ทั้งนี้สำหรับโดนัทที่รับมาจากโรงงานนั้นทางร้านจะรับมาวันต่อวัน ถ้าวันไหนมีโดนัทเหลือทางร้านก็จะทิ้งทันทีมาเก็บมาขายต่ออีกแน่นอน ทำให้กำลังการลิตต่อวันที่ทางโรงงานผลิตให้กับทางแบรนด์นั้นใน 1 วันจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 ชิ้นในช่วง 2 สองวันแรก แต่วันถัดๆ มา ลูกค้าให้การตอบรับดีขึ้นกำลังการผลิตก็เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 500 ชิ้นต่อวัน นอกจากนี้กลุ่มลูกค้าที่ให้การสนับสนุนสินค้าของทางร้านจะแยกเป็นวัน เช่น จันทร์ – ศุกร์ จะเป็นลูกค้ากลุ่มพนักงานออฟฟิศและลูกค้าที่มาตามรีวิวต่างๆ ส่วนวันเสาร์และอาทิตย์จะเป็นลูกค้ากลุ่มที่มาท่องเที่ยวแถว Gump’s Ari ซึ่งในช่วงวันเสาร์และวันอาทิตย์จะขายหมดเร็วกว่าวันปกติ ถึงแม้จะมีการสั่งโดนัทเพิ่มเป็นเท่าตัวของวันจันทร์-ศุกร์ ส่วนการสั่งแบบเดลิเวอรี่นั้นทางร้านมีบริการจัดส่งกับ Line Man แต่ยังคงไม่เต็มที่มากนัก
สำหรับโดนัทของทางร้านจะมีทั้งหมด 4 รสชาติ โดยจะเป็นโดนัทเปล่าๆ ทอดมาใหม่ๆ และจะมีการโรยน้ำตาลไอซิ่งลงไปแต่จะไม่ได้ชุบน้ำตาลเหมือนคนอื่น เพราะส่วนตัวเจ้าของแบรนด์มีความต้องการจะให้รสชาติโดนัทมีความหวานน้อย ก็เลยใช้น้ำตาลไอซิ่งแทนการชุบน้ำตาล โดยน้ำตาลไอซิ่งจะมีทั้งหมด 4 รสชาติ คือ รสออริจินอล สตรอเบอร์รี่ มันม่วงฮอกไกโด และโกโก้ ซึ่งรสชาติเหล่านี้ทางร้านเป็นคนคิดค้นสูตรและผสมวัตถุดิบต่างๆ ขึ้นมาเอง
ทั้งนี้ตัวแพคเกจจิ้งที่เป็นแบบแก้วสองชั้น ในความเป็นจริงแล้วอากาศประเทศไทยเป็นอากาศร้อนค่อนข้างมาก ทางร้านจึงมีแนวคิดที่ทำเป็นแก้วสองชั้นเพื่อคงความเย็นให้กับตัว Milkshake เพื่อให้ความเย็นและความสดชื่นยังคงอยู่กับตัวสินค้า ส่วนการที่เอาโดนัทใส่เข้าไปในแก้วด้วยนั้น เจ้าของแบรนด์ให้ความเห็นว่า ต้องการให้ลูกค้ากินคู่กันเพราะว่าส่วนตัวนั้นตนเคยไปกินที่ประเทศญี่ปุ่นจึงอยากให้ลูกค้าได้กินแบบนั้นดูบ้าง และอีกหนึ่งเหตุผลคือ ประหยัดภาชนะที่ใส่อาหาร เพราะลูกค้าบางคนอาจจะไม่ชอบการถือสินค้าหลายอย่าง เมื่ออยู่ด้วยกันในแก้วเดียวก็จะสะดวกในการถือกินได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ถ้าหากขายแต่โดนัทเพียงอย่างเดียวทางร้านกำหนดขายตั้งแต่ 5 ชิ้นขึ้นไป ส่วนถ้าซื้อคู่กับ Milkshake จะได้โดนัท 2 ชิ้น แต่ถ้าลูกค้าต้องการโดนัทมากกว่า 2 ชิ้นก็สามารถบอกกับทางร้านได้อีกด้วย ทำให้ตอนนี้ลูกค้าส่วนมากจะสั่งเมนูที่เป็นโดนัทพร้อม Milkshake มากกว่า โดนัทเพียงอย่างเดียว ทั้งนี้ผลตอบรับจากลูกค้าตั้งแต่เปิดร้านมาเพียง 1 สัปดาห์ดีเกินคาดจากที่ทางร้านคำนวณไว้ สำหรับราคานั้นจะมีราคาอยู่ที่ 80-100 บาท โดยแยกเป็น โดนัทกล่อง 5 ชิ้น 100 บาท Milkshake เพียงอย่างเดียว 80 บาท ส่วน Chubbyshake หรือโดนัทคู่กับ Milkshake อยู่ที่ราคา 100 บาท
สำหรับในอนาคตทางร้านได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจให้ไปในแนวทางของการส่งเดลิเวอรี่ให้ได้มากที่สุด รวมถึงกำลังตัดสินใจที่จะนำสินค้าไปเปิดในห้างสรรพสินค้าเพื่อเป็นเฟสที่สอง ส่วนเฟสที่สามก็มีการมองเป็นแฟรนไชส์ ซึ่งในตอนนี้มีความต้องการจะขายเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน เนื่องจากทางร้านยังคงอยากควบคุมคุณภาพบวกกับราคาที่เจาะกลุ่มลูกค้าคนเมืองมากกว่า รวมถึงจะขยายไปในทิศทางของต่างประเทศเพราะว่ามีลูกค้าต่างชาติ เช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น ไต้หวัน มีติดต่อเข้ามาพอสมควร ซึ่งตัวแฟรนไชส์อาจจะได้เห็นตอนต้นปีหน้าแต่ก็ต้องดูสถานการณ์ต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตามทางร้านได้เปิดในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 กำลังดีขึ้น แต่ก็มีหวั่นใจกับการระบาดรอบสอง ซึ่งทางร้านได้มีการเตรียมการส่งเดลิเวอรี่กับซื้อกลับบ้านเอาไว้ เพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐและรองรับกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ติดต่อเพิ่มเติม
Instagram : chubbydough
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *