กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งเดินหน้าให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในรูปแบบของคลัสเตอร์ พร้อมผลักดันให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยติด 1 ใน 10 ของเมืองแห่งเครื่องสำอางโลก พร้อมเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค เผยเตรียมจัดประกวดสุดยอดเครื่องสำอาง เฟ้นหาต้นแบบภายใต้แบรนด์ไทย
ดร.พสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินเครือข่าย โดยจะเห็นได้จากทิศทางการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ นอกจากนี้ยังถือเป็น 1 ใน 4 อุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นและอุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศ ในอัตราที่สูง (ที่มา : ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
ทั้งนี้ จากความร่วมมือของสถาบันการวิจัย และภาครัฐ พร้อมทั้งกลยุทธ์การปรับตัวในหลายๆ รูปแบบที่มีประสิทธิภาพ เช่น ด้านนวัตกรรมการผลิต การร่วมมือวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้ถือเป็นรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ดีที่กลุ่มคลัสเตอร์ธุรกิจอื่นๆ จะสามารถนำไปเป็นต้นแบบและสร้างแนวทางการดำเนินอุตสาหกรรมของตนให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างกว้างขวางต่อไปในอนาคต
โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้ดำเนินการให้การสนับสนุน ในด้านต่างๆ ได้แก่ สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในระดับห่วงโซ่อุปทานที่สามารถบูรณาการการเชื่อมโยงข้อมูลจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรมในระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยจะส่งผลให้การประกอบธุรกิจต่อไป อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์กระแสความต้องการของผู้บริโภค
สำหรับในปี 2559 ยังได้ร่วมมือกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยนำร่องจัดกิจกรรม THAILAND COSMETIC CONTEST 2016 ถือเป็นครั้งแรกของการจัดกิจกรรมประกวดสุดยอดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพื่อเฟ้นหางานต้นแบบผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าไทย กิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 การจัดกิจกรรม แบ่งเป็น 10 สาขา ได้แก่ (1. รางวัล Cosmetic 4.0 (2. รางวัล Thai Herb Cosmetic (3. รางวัล Thai Rice Cosmetic (4. รางวัล Cosmetic Science (5. รางวัล Global Green Cosmetic (6. รางวัล Biotech Cosmetic (7. รางวัล The Best Thai Graphic Design (8. รางวัล Social SME (9. รางวัล Popular Vote และ (10. รางวัล Thai Spa ทั้งนี้ ผู้ที่มีความโดดเด่นและได้รับรางวัลในแต่ละสาขาจะได้รับการจดสิทธิบัตร พร้อมทั้งได้รับเงินทุนสนับสนุนเพื่อพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการเพื่อการต่อยอดการดำเนินธุรกิจเครื่องสำอางต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ กสอ.มีแผนที่จะผลักดันธุรกิจเครื่องสำอางสามารถ ติด 1 ใน 10 ของเมืองแห่งเครื่องสำอางโลกภายในระยะเวลา 3-5 ปี โดยขณะนี้ไทยติดอันดับที่ 17 ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.7 แสนล้านบาท (ที่มาข้อมูล : สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย) นอกจากนี้จะเร่งผลักดันผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถเพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตในภูมิภาค หรือเป็นปารีสแห่งเอเชีย ซึ่งมั่นใจว่าการครองอันดับ 1 ในเอเชียได้ไม่ยาก
นายสมประสงค์ พยัคฆพันธ์ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายสู่การเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยแล้วนั้น ปัจจุบันยังมีการพัฒนาและรวมกลุ่มกับประเทศต่างๆ สู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกคลัสเตอร์เครื่องสำอางโลก หรือ Cosmetic Valley โดยถือเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแรกของไทยที่ได้เข้าสู่ในระดับนานาชาติ โดยกลุ่มประเทศเป้าหมาย ที่จะผลักดันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยเข้าร่วม ได้แก่ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี เกาหลี เป็นต้น โดยขณะนี้ได้มีการลงนามการให้การสนับสนุนและส่งเสริมการร่วมมือพัฒนาในด้านต่างๆ ทั้งการแสดงสินค้าในเวทีระดับนานาชาติ การเข้าถึงแหล่งข้อมูล การให้ความช่วยเหลือในด้านสิทธิประโยชน์ด้านวัตถุดิบ การวิจัย การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การบูรณาการองค์ความรู้ด้านการผลิต เป็นต้น
ด้านนายชาญณรงค์ แสงเดือน กรรมการผู้จัดการบริษัท โอริกก้า จำกัด และผู้ได้รับรางวัล Cosmetic 4.0 จากกิจกรรม THAILAND COSMETIC CONTEST 2016 กล่าวว่า นวัตกรรมในการผลิตเครื่องสำอางเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือนำพาให้ธุรกิจสามารถไปได้ไกลในระดับนานาชาติ โดยปัจจุบันตนค้นพบสารสกัดน้ำมัน จากตัวอ่อนของแมลงชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารสำคัญคือกรดลอริก โดยทั่วไปจะพบได้ในน้ำนมแม่ และน้ำมันมะพร้าว คุณสมบัติจากสารสกัดดังกล่าวเป็นเรื่องที่แปลกใหม่และไม่เคยพบมาก่อนในวงการเครื่องสำอางและวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถต้านมะเร็ง ลดการอักเสบ ลดไขมัน มีโอเมกา 3, 6 และ 9 สามารถก่อให้เกิดข้อดีในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในด้านการสร้างมูลค่าและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ โดยขณะนี้ได้ดำเนินการจดสิทธิบัตรสากลกับ WTO ซึ่งจะเป็นเรื่องดีในด้านการคุ้มครองการประดิษฐ์คิดค้นหรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยในอนาคตจะทำให้สินค้ามีความแตกต่างและแปลกใหม่จากสินค้าทั่วไป ทั้งนี้ นอกจากการค้นพบนวัตกรรมดังกล่าวแล้ว ตนยังมีความมุ่งมั่นที่จะต่อยอดให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อการพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยตอนนี้ได้รับสัญญาณที่ดีจากประเทศเมียนมาร์ที่ได้ทำข้อตกลงเพื่อการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในประเทศดังกล่าว คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกำลังซื้อของประชากรในประเทศที่กำลังเติบโตสูง
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูล เพิ่มเติมได้ที่สำนักพัฒนาการจัดการอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0-2202-4575 หรือเข้าไปที่ www.dip.go.th
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *