ห้าง “เทสโก้ โลตัส” อุ้มกลุ่มเกษตรกรใช้นวัตกรรม ลงพื้นที่ช่วยยกระดับ สนับสนุนให้ปลูกตรงความต้องการตลาด พร้อมรับซื้อตรงให้ราคาสูง เพิ่มรายได้แก่ผู้ปลูกในท้องถิ่น จุดโมเดลประสบความสำเร็จทุกฝ่าย ล่าสุดจับมือ จ.สงขลา ส่งเสริมปลูกผักขึ้นฉ่ายไฮโดรโปนิกส์ ซับน้ำตาชาวสวนยางพารา
นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัท เทสโก้ โลตัส ผู้บริหารห้าง “เทสโก้ โลตัส” เปิดเผยว่า จากนโยบายของเทสโก้ โลตัสที่ต้องการจะหาสินค้าเกษตรคุณภาพดีเพื่อมาบริการลูกค้า รวมถึงได้ช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. 2553 ได้ริเริ่มการซื้อผลผลิตตรงจากเกษตรกร และให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด ภายใต้เงื่อนไขสินค้าเกษตรดังกล่าวต้องมีนวัตกรรม ด้านกระบวนการผลิต หรือตัวผลผลิต รวมถึงมีมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับอาชีพเกษตรกรให้มีศักยภาพสูงขึ้น นำไปสู่การทำเกษตรแนวใหม่ที่เกิดความยั่งยืนมากกว่าอดีต
เธอกล่าวเสริมว่า การทำเกษตรแบบดั้งเดิมมักจะได้ผลผลิตคุณภาพไม่ดีนัก อีกทั้ง เป็นผลผลิตที่ไม่ค่อยตรงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทางเทสโก้ โลตัส จึงใช้วิธีลงพื้นที่แสวงหาและคัดเลือกเกษตรกรในท้องถิ่นที่ทำเกษตรด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่มีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่ง จากนั้นจะไปบอกถึงความต้องการในการรับซื้อเพื่อให้เกษตรกรปลูกผลผลิตให้ตรงกับที่ตลาดต้องการ รวมถึงส่งทีมงานเข้าไปช่วยให้คำปรึกษาตลอดจนแนะนำกระบวนบริหารจัดการต่างๆ และเมื่อผลผลิตออกมาแล้วจะรับซื้อขาดทั้งหมด โดยให้ราคาที่สูงกว่าท้องตลาด
ทั้งนี้ ปัจจุบันเทสโก้ โลตัส ได้ทำโครงการดังกล่าวกับกลุ่มเกษตรกรทั่วประเทศมาแล้วจำนวน 22 โครงการ มีปริมาณรับซื้อผลผลิตรวมกว่า 1.5 แสนตัน นอกจากนั้น จากที่ภาครัฐมีนโยบาย “ประชารัฐ” จึงต่อยอดแนวคิดนี้เป็นโครงการ “เทสโก้ โลตัส ประชารัฐร่วมใจ” ซึ่งจะเป็นความร่วมมือกันของ 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความสำเร็จแก่ทุกฝ่ายร่วมกัน
“โครงการนี้ไม่ใช่การทำ CSR แต่เราคิดถึงการทำธุรกิจที่จะเกิดความยั่งยืน สามารถ win win ด้วยกันทุกฝ่าย โดยทางเราจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี สดสะอาด และเป็นที่ต้องการของลูกค้ามาขายในห้างของเรา ส่วนทางเกษตรกรผู้ปลูกก็จะมีรายได้ มีกำไรที่แน่นอน มีหลักประกันว่าผลผลิตที่ปลูกมีตลาดรับซื้อแน่นอน และได้ราคาน่าพึงพอใจ” รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการฯ กล่าว
ทั้งนี้ หนึ่งในความร่วมมือตามโครงการ “เทสโก้ โลตัส ประชารัฐร่วมใจ” ได้เข้าไปสนับสนุนซื้อผักขึ้นฉ่ายไฮโดรโปนิกส์ (hydroponics) จากกลุ่ม “ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ คลองหอยโข่ง” ต.ทุ่งลาน อ.คลองหอยโข่ง จ.สงขลา เพื่อจะช่วยสร้างอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพารา ที่เวลานี้กำลังประสบปัญหาราคายางตกต่ำ ณ ปัจจุบันมีปริมาณผักขึ้นฉ่ายไฮโดรโปนิกส์ส่งมาขายที่เทสโก้ โลตัส ถึง 500-1,000 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ รวมถึงมีเป้าหมายที่จะเพิ่มปริมาณการรับซื้อผักปลอดภัยชนิดอื่นๆ ในภาคใต้เพิ่มขึ้น โดยจะใช้แนวทางประชารัฐ ร่วมมือกับทั้งรัฐและชุมชน และจะใช้การตลาดเป็นตัวนำเช่นเดิม
นางสาวสลิลลาเผยด้วยว่า โครงการส่งเสริมเกษตรได้ดำเนินการในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น โครงการ ‘ปลูกผักกลางนาทุ่งกุลายิ้มได้’ สนับสนุนให้ชาวนาจังหวัดร้อยเอ็ดปลูกผักเสริมในหน้าแล้ง สร้างรายได้เพิ่มให้ครัวเรือนละ 5,000 บาทต่อรอบการเก็บเกี่ยว รวมทั้งการมอบพื้นที่ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำสินค้าโอทอปจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาจำหน่ายที่เทสโก้ โลตัส สร้างรายได้ให้ชาวบ้านรวมกว่า 27 ล้านบาท เป็นต้น
ด้านนายทรงพล สวาสดิ์ธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าวว่า จังหวัดสงขลามีเกษตรกรชาวสวนยางอยู่เป็นจำนวนมาก พอยางราคาตกหลายครัวเรือนประสบปัญหารายได้น้อย ทางจังหวัดจึงส่งเสริมให้เกษตรกรสร้างอาชีพอื่นๆ ให้หลากหลาย เช่น การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ โดยทางจังหวัดได้สนับสนุนให้เกิดการอบรม ขยายองค์ความรู้ไปสู่ชาวสวนยางที่มีรายได้น้อย เริ่มจาก 10 ราย ก่อนจะขยายไปเรื่อยๆ ปัจจุบันมีเกษตรชาวสวนยางพารามาเป็นเครือข่ายปลูกผักไฮโดรโปนิกส์แล้วกว่า 20 ราย นอกจากนั้น ยังมีงบประมาณในการจัดหาอุปกรณ์ให้แก่ชาวบ้านที่ผ่านการคัดเลือกเข้าโครงการด้วย
ด้านนายพิโชติ ผุดผ่อง แกนนำกลุ่ม “ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ คลองหอยโข่ง” เผยว่า โครงการ “เทสโก้ โลตัส ประชารัฐร่วมใจ” จะรับซื้อผลผลิตผักขึ้นฉ่ายไฮโดรโปนิกส์จากเกษตรกรโดยตรง โดยให้เงื่อนไขพิเศษ คือ รับซื้อขาดจ่ายเงินสดทุกสัปดาห์ โดยให้ราคาประกันที่ 75 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้เกษตรกรเกิดความมั่นใจในอาชีพว่าผลผลิตที่ปลูกมีตลาดรองรับแน่นอน และได้ราคาที่น่าพึงพอใจ ปัจจุบันมีเกษตรกรร่วมเป็นสมาชิกกว่า 20 ราย จำนวนปลูกผักขึ้นฉ่ายไฮโดรโปนิกส์ราว 100 โต๊ะ ปริมาณส่งให้เทสโก้ โลตัส รวมประมาณ 1,000 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
“ราคาขายขึ้นฉ่ายที่ 75 บาทต่อกิโลกรัม ในพื้นที่ปลูก 1 โต๊ะ สร้างยอดขายประมาณ 3,000-4,000 บาท หักต้นทุนทุกอย่างแล้วจะเหลือกำไรประมาณ 50% ในขณะที่ราคาท้องตลาดจะผันผวนขึ้นลงตลอด ทำให้ควบคุมต้นทุนและวางแผนการตลาดได้ยาก ดังนั้น การขายขาดโดยมีราคาประกันช่วยสร้างความมั่นคงได้ดีกว่า” แกนนำกลุ่มเผย
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
