“เห็ดกรอบ อร่อยเยอะ ประโยชน์แยะ” นี่เป็นคำขวัญประจำแบรนด์ “หัวเห็ด” บ่งบอกจุดเด่นของตัวเองที่เจาะจงใช้ “เห็ด” มาเป็นวัตถุดิบหลัก แปรรูปสู่ขนมกินเล่น หรือสแน็ค (snack) เพื่อสุขภาพโดยตรง ผลงานของผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ที่วางเป้าให้เป็นสแน็คสุดฮิต ทั้งตลาดในและต่างประเทศ
พณัญญา ธิติบดินทร์ และเศรษฐกาล เศรษฐภากรณ์ จาก บริษัท มายาณกานต์ จำกัด คือ เจ้าของผลิตภัณฑ์เห็ดอบกรอบ แบรนด์ “หัวเห็ด” (HuaHed) ร่วมให้ข้อมูลว่า เหตุผลที่เลือกเห็ดมาทำเป็นสแน็ค เพราะเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน ซึ่งเห็ดมีคุณค่าทางสารอาหารหลากหลาย มีกากสูงช่วยในระบบขับถ่าย จึงเหมาะจะทำกินเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ
นอกจากนั้น ยังเป็นการสร้างความแตกต่างจากท้องตลาด เนื่องจากปัจจุบัน ในเมืองไทยยังไม่มีใคร นำเห็ดทำสแน็คมาก่อนเลย จะมีบ้างในกลุ่มสินค้าโอทอป แต่จะเป็นลักษณะเห็ดชุบแป้งทอด แต่หากเป็นเห็ดเข็มทองล้วนๆ นำมาอบกรอบแล้วบรรจุซอง แบรนด์ “หัวเห็ด” นับเป็นเจ้าแรกของวงการ
สำหรับเห็ดที่เลือกใช้ คือ “เห็ดเข็มทอง” และ “เห็ดนางฟ้า” เพราะจากการทดลองแปรรูปแล้ว มีรสชาติที่อร่อยที่สุด และยังเป็นเห็ดพันธุ์ที่คนทั่วไปรู้จักอย่างดี ส่วนกระบวนการแปรรูปนั้น ใช้วิธีอบกรอบ ขณะที่รสชาติอาศัยการวิจัยและพัฒนาด้วยตัวเอง จนได้รสชาติที่เชื่อว่าดีที่สุด โดยไม่ได้ใช้ผงชูรสใดๆ ทั้งสิ้น
ด้านแหล่งวัตถุดิบเห็ดนั้น ติดต่อขอซื้อจากฟาร์มเห็ดทางภาคตะวันตก ประมาณ 4 ราย โดยกำหนดว่าเป็นเห็ดที่ปลูกโดยปลอดยาฆ่าแมลง และคัดเฉพาะเห็ดอ่อน ซึ่งจะได้รสชาติดีที่สุด โดยในกระบวนการแปรรูป จากเห็ดสด 1 กิโลกรัม นำมาทำเป็นสแน็คจะเหลือน้ำหนักประมาณ 6 ขีดเท่านั้น
“เราวางตำแหน่งสินค้าให้เป็นขนมกินเล่นเพื่อสุขภาพ สำหรับตลาดวงกว้าง สามารถกินได้ทุกเพศทุกวัน ตั้งแต่เด็กเล็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ดังนั้น ทั้งวัตถุดิบและกระบวนการผลิต พยายามให้สอดคล้องเพื่อตอบเทรนด์รักสุขภาพมากที่สุด”เศรษฐกาล ระบุ
เงินส่วนตัวกว่า 10 ล้านบาท ถูกใช้เป็นทุนตั้งต้นธุรกิจ ทั้งการก่อสร้างโรงงานซึ่งมีศักยภาพผลิตสูงสุดได้กว่าหมื่นซองต่อเดือน การวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการผลิตและทำตลาด โดยแบรนด์ “หัวเห็ด” เริ่มออกสู่ตลาดเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา
เจ้าของธุรกิจหนุ่ม อธิบายวิธีทำตลาดในเบื้องต้น อาศัยออกบูทแนะนำสินค้าในทำเลย่านกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และใช้บล็อกเกอร์รีวิวสินค้า ตามด้วยนำสินค้าไปเสนอขายตามซูเปอร์มาร์เกตชื่อดังต่างๆ จนได้โอกาสวางในท็อปซูเปอร์มาร์เกต เดอะมอลล์ และร้านสินค้าเพื่อสุขภาพต่างๆ ขณะนี้มีสินค้าด้วยกัน 2 รายการ ได้แก่ เห็ดเข็มทอง รสดั้งเดิม กับเห็ดฝอย (ทำจากเห็ดนางฟ้า) รสดั้งเดิม ราคาขายปลีกซองละ 30 บาท (ขนาด 30 กรัม) โดยเฉลี่ยกำลังผลิตอยู่ที่หลักพันซองต่อเดือน หรือคิดเป็นยอดขายประมาณ 1 ล้านบาทต่อเดือน
สำหรับความยากในธุรกิจนี้ เขาระบุไปที่การนำวัตถุดิบที่ต้นทุนค่อนข้างสูงอย่างเห็ดมาทำเป็นขนมกินเล่น ซึ่งไม่สามารถขายในราคาต่อหน่วยได้สูงนัก ทำให้เหลือกำไรสุทธิค่อนข้างต่ำ ดังนั้น จำเป็นต้องเน้นขายให้ได้ปริมาณมากๆ ซึ่งเป้าที่วางไว้หลักหมื่นซองต่อเดือน ประกอบกับพยายามสร้างแบรนด์ให้คนทั่วไป รู้จักและจดจำให้ได้มากที่สุด
จากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันยังอยู่ในภาวะค่อนข้างทรงตัว ในมุมมองของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ยังกล้าจะลงทุนนับสิบล้านบาทนั้น ทั้งสองแสดงทัศนะว่า ในยามเศรษฐกิจชะลอตัว ก็เป็นโอกาสได้เช่นกัน เพราะการแข่งขันค่อนข้างน้อย มีโอกาสที่จะไปเสนอสินค้าในช่องทางตลาดใหญ่ๆ ได้ง่ายขึ้น อีกทั้ง สินค้าหมวดอาหาร ยังเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีอย่างไรก็ตาม คนก็ยังต้องกินอาหารเป็นประจำทุกวัน ทำให้สินค้ากลุ่มอาหารได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มสินค้าอื่นๆ อีกจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ สินค้าต้องมีความพิเศษ หรือมีจุดเด่นที่แตกต่างจากในท้องตลาดด้วย
สำหรับเป้าหมายของธุรกิจนั้น เบื้องต้นต้องการเพิ่มยอดผลิตเป็นหลักหมื่นซองต่อเดือน โดยจะใช้แผนกระตุ้นตลาด ลงพื้นที่ให้ลูกค้าได้ทดลองชิมมากที่สุด ประกอบกับทำสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ นอกจากนั้น จะขยายตลาดไปสู่กรุ๊ปนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเยือนเมืองไทย เพื่อให้ซื้อกลับไปเป็นของฝาก โดยคาดจะคืนลงทุนได้ทั้งหมด ภายใน 2-5 ปี
และเมื่อตลาดในประเทศเข้มแข็งแล้ว เป้าหมายต่อไปจะผลักดันส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ต่อเนื่องไปถึงประเทศจีนต่อไป
ต้องจับตากันต่อไปว่า แผนธุรกิจกับเป้าหมายดังกล่าวของคนรุ่นใหม่รายนี้ ในการผลักดันเห็ดให้เป็นสแน็คสุดฮิต ทั้งในและต่างประเทศ จะสำเร็จได้จริงหรือไม่
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
