xs
xsm
sm
md
lg

TOA ดันแบรนด์ไทยเบอร์ 1 อาเซียน ความท้าทายที่ใกล้สำเร็จ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด
ความเจริญเติบโตของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน ได้กลายเป็น “ขุมทอง” ของธุรกิจไทยในการขยายตลาดออกไป ด้วยขนาดของประชากรในกลุ่มอาเซียนมีประมาณ 600 ล้านคน ถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีความต้องการซื้อที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ และยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้ทุนต่างประเทศเข้าสู่ตลาดอาเซียน เพื่อรองรับการขยายตลาดสู่ภูมิภาคอื่น

บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำในธุรกิจสีของประเทศไทย ภายใต้การนำของแม่ทัพใหญ่ นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ได้วางยุทธศาสตร์การปักธงธุรกิจในแต่ละประเทศของภูมิภาคอาเซียนเพื่อเป้าหมายอันสูงสุด คือ การเป็นผู้นำเบอร์ 1 ในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ และหนึ่งในกลยุทธ์การครองตลาดนั้น คือ ขยายการลงทุนไปยังประเทศต่างๆ ผ่านการฐานการผลิต เพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านการขนส่ง และโอกาสในการทำราคาที่ได้ดีกว่า

“ในปี 2559 บริษัทมีแผนการลงทุนในตลาดอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมองว่า ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ในทิศทางที่ดี เนื่องจากตลาดอาเซียนยังมีความต้องการในสินค้าของประเทศไทยค่อนข้างสูง โดยช่วงไตรมาส 2 ของปี 2560 มีแผนสร้างโรงงานเพิ่ม 3 แห่ง ได้แก่ พม่า (ขยายโรงงานเพิ่ม) กัมพูชา และอินโดนีเซีย ทำให้ ทีโอเอ มีฐานกำลังการขยายผลิตรวม 7 แห่ง ซึ่งการมีฐานผลิตที่มาก จะช่วยแบ่งปันเรื่องของต้นทุนได้ ผ่านการซัปพลายสินค้าไปยังลูกค้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตจากตลาดอาเซียนที่ประมาณ 21% ต่อปี” นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว และชี้ถึงเป้าการทำตลาดในอินโดนีเซีย ว่า

เป็นประเทศที่ ทีโอเอ ต้องเข้าไปทำตลาดเพราะเห็นโอกาสและศักยภาพ เนื่องจากมีประชากรมากถึง 200 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของประชากรในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเรามั่นใจสามารถแข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยภูมิประเทศที่เกาะจำนวนมาก ก็อาจเลือกจะมีโรงงานการผลิตที่มากขึ้นก็ได้ ทั้งนี้ อยู่ที่ความจำเป็น และการทำตลาด

สำหรับตลาดสีทาอาคารในตลาดอาเซียน มีมูลค่ารวมกว่า 130,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทครองส่วนแบ่งการตลาด 13% โดยบริษัทยังมีแผนในการสร้างแบรนด์ “ทีโอเอ” ให้เป็น “No.1 Regional Paint Brand” ในตลาดอาเซียน ด้วยการชูกลยุทธ์ในด้านการผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ การขยายฐานคู่ค้า ร้านค้า ด้วยเครื่องผสมสีอัตโนมัติที่มีอยู่กว่า 4,000 เครื่อง อย่างไรก็ตาม “ทีโอเอ” ตั้งเป้าขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดอาเซียนภายใน 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีส่วนแบ่งตลาดที่ประมาณ 15%

“หากมองย้อนหลังไป 3-4 ปี ตลาดต่างประเทศ ทีโอเอ เติบโตมากถึง 20% แสดงว่า เราวางกลยุทธ์มาถูกต้อง โดยในปีที่ผ่านมา รายได้จากประเทศเวียดนามนำโด่งถึง 40% หลังจากประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจมาระยะหนึ่ง ขณะที่ในประเทศพม่า ทีโอเอ ได้งานจากโครงการภาครัฐ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาลงทุน”

ในส่วนของทิศทางการทำตลาดในประเทศไทย ปัจจุบัน “ทีโอเอ” ยังครองสัดส่วนที่ 48% จากมูลค่าตลาดรวมสีทาอาคาร 22,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จาก 2 กลุ่มสินค้า ได้แก่ กลุ่มสีทาอาคาร 75% และกลุ่มสีอื่นๆ 25% นอกจากนี้ บริษัทมีกลยุทธ์ในการรักษาอัตราการเติบโต ด้วยการผลักดันยอดขายกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่สีทาอาคาร ให้เติบโตเพิ่มขึ้น 9% รวมไปถึงการขยายช่องทางการจัดหน่ายในห้างโมเดิร์นเทรดให้เติบโตขึ้นอีก 14%

ปัจจุบัน บริษัทมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลักผ่านร้านค้ารีเทลที่สามารถสร้างรายได้ให้เติบโตกว่า 80% ทั้งนี้ บริษัทยังมีแนวคิดด้านการสื่อสารการตลาดแนวใหม่กับการยกระดับมาตรฐานการให้บริการสีแบบครบวงจร อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ามีรายได้รวม 18,000 ล้านบาท เติบโต 12% แบ่งเป็นรายได้จากตลาดในประเทศ 14,000-15,000 ล้านบาท เติบโต 3% และรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ และตลาดอาเซียนที่มีฐานผลิต และส่งออกประมาณ 2,800-3,000 ล้านบาท เติบโต 21%

“การเติบโตของตลาดสีในปีนี้เกิดจากนโยบายของภาครัฐ ที่ส่งเสริมผ่านเครือข่ายการคมนาคมที่มีถึง 20 โครงการ มูลค่ากว่า 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งช่วยต่อยอดให้ภาคอสังหาฯ ขยายตัว มาตรการอสังหาฯ การเติบโตของภาคอสังหาฯ”

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2558 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมที่ 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดในประเทศ 13,500 ล้านบาท และรายได้จากตลาดต่างประเทศ และตลาดอาเซียนที่ 2,500 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น