มิลล์คอน สตีลคาดผลงานกระโดด เหตุความต้องการใช้เหล็ก และราคาเหล็กในประเทศเพิ่มชัดเจน มั่นใจบริหารต้นทุนได้ดี คาดกำไรขึ้นต้นปีนี้สูงกว่าปีก่อน ขณะการลงทุนในพม่าคาดเริ่มผลิตได้ต้นปี 59 นี้ เพื่อขายในตลาดอาเซียน ส่งผลต่อการทำกำไรเพิ่ม ดันตัวเลข EBITDA Margin จาก operation ปีนี้สูงกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
น.ส.จุรีรัตน์ ลปนาวณิชย์ กรรมการ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 59 มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากตั้งแต่ช่วงต้นปีความต้องการเหล็ก และราคาเหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นชัดเจน รวมถึงมั่นใจว่าจะมีการบริหารต้นทุนการดำเนินงานได้ดีขึ้น คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้สูงกว่าปีก่อน
ขณะที่การเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมติลาวา (Thilawa) ประเทศพม่าคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในต้นปี 2559 โดยจะมีกำลังการผลิตอีก 60,000 ตัน เพื่อจำหน่ายในกลุ่มประเทศอาเซียน จะทำให้ความสามารถในการผลิต และความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น โดยจะส่งผลให้ EBITDA Margin จาก operation ในปี 59 มีแนวโน้มสูงกว่าปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ
น.ส.จุรีรัตน์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองกับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามากกว่า 2 พันล้านบาท เนื่องจากธุรกิจหลักมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลที่มีความชัดเจน ประกอบกับบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นที่มาจากผลิตภัณฑ์เหล็กลวดเข้ามาเสริม
โดยแผนงานจากนี้ไปถึง 5 ปีข้างหน้า คือ ปี 63 จะปรับสัดส่วนการผลิต และจำหน่ายเหล็กคุณภาพพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มให้เกินกว่า 50% ของเหล็กทั้งหมด โดยจะเริ่มทำตลาดอย่างจริงจังได้ในต้นปี 2559 ซึ่งเหล็กชนิดดังกล่าวจะมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูงกว่าเหล็กเส้นปกติ เนื่องจากราคาของเหล็กเกรดพิเศษจะอยู่ในช่วงระหว่าง 20-40 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เหล็กเส้นจะมีราคาเฉลี่ยเพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2558 บริษัทพลิกกลับมีกำไรสุทธิ 756 ล้านบาท ขณะที่อีบิตด้า (Ebitda) เพิ่มขึ้นเป็น 1,699 ล้านบาท โดยรายได้รวมสูงขึ้นเป็น 13,660 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 3,171 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 57 เป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเป็น 809,569 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากบริษัทสามารถผลักดันยอดขายได้เพิ่มขึ้น ทั้งจากโครงการของภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ หากแยกปริมาณการขายตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ พบว่า กลุ่มเหล็กเส้นมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นถึง 33% กลุ่มเหล็กรูปพรรณเพิ่มขึ้น 18% เหล็กแท่งทรงยาวเพิ่มขึ้น 82%
“กำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทมีต้นทุนจากการขาย และการให้บริการที่ลดลงหากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่ดีขึ้น และการบริหารต้นทุนที่ดี นอกจากนี้ บริษัทสามารถดำเนินการชำระหนี้สินต่อสถาบันการเงินตามสัญญา ทำให้ต้นทุนการเงินลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นด้วย” น.ส.จุรีรัตน์ กล่าว
ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 58 มีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 5,860 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30% จากผลการดำเนินงานของบริษัท และการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ธนาคารกรุงเทพ
น.ส.จุรีรัตน์ ลปนาวณิชย์ กรรมการ บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 59 มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากตั้งแต่ช่วงต้นปีความต้องการเหล็ก และราคาเหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นชัดเจน รวมถึงมั่นใจว่าจะมีการบริหารต้นทุนการดำเนินงานได้ดีขึ้น คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้สูงกว่าปีก่อน
ขณะที่การเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมติลาวา (Thilawa) ประเทศพม่าคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในต้นปี 2559 โดยจะมีกำลังการผลิตอีก 60,000 ตัน เพื่อจำหน่ายในกลุ่มประเทศอาเซียน จะทำให้ความสามารถในการผลิต และความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น โดยจะส่งผลให้ EBITDA Margin จาก operation ในปี 59 มีแนวโน้มสูงกว่าปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ
น.ส.จุรีรัตน์ กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองกับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามากกว่า 2 พันล้านบาท เนื่องจากธุรกิจหลักมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลที่มีความชัดเจน ประกอบกับบริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้นที่มาจากผลิตภัณฑ์เหล็กลวดเข้ามาเสริม
โดยแผนงานจากนี้ไปถึง 5 ปีข้างหน้า คือ ปี 63 จะปรับสัดส่วนการผลิต และจำหน่ายเหล็กคุณภาพพิเศษที่มีมูลค่าเพิ่มให้เกินกว่า 50% ของเหล็กทั้งหมด โดยจะเริ่มทำตลาดอย่างจริงจังได้ในต้นปี 2559 ซึ่งเหล็กชนิดดังกล่าวจะมีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูงกว่าเหล็กเส้นปกติ เนื่องจากราคาของเหล็กเกรดพิเศษจะอยู่ในช่วงระหว่าง 20-40 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่เหล็กเส้นจะมีราคาเฉลี่ยเพียง 14 บาทต่อกิโลกรัม
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2558 บริษัทพลิกกลับมีกำไรสุทธิ 756 ล้านบาท ขณะที่อีบิตด้า (Ebitda) เพิ่มขึ้นเป็น 1,699 ล้านบาท โดยรายได้รวมสูงขึ้นเป็น 13,660 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 3,171 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 57 เป็นผลมาจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเป็น 809,569 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 58% เนื่องจากบริษัทสามารถผลักดันยอดขายได้เพิ่มขึ้น ทั้งจากโครงการของภาครัฐ และเอกชน ทั้งนี้ หากแยกปริมาณการขายตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ พบว่า กลุ่มเหล็กเส้นมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นถึง 33% กลุ่มเหล็กรูปพรรณเพิ่มขึ้น 18% เหล็กแท่งทรงยาวเพิ่มขึ้น 82%
“กำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทมีต้นทุนจากการขาย และการให้บริการที่ลดลงหากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่ดีขึ้น และการบริหารต้นทุนที่ดี นอกจากนี้ บริษัทสามารถดำเนินการชำระหนี้สินต่อสถาบันการเงินตามสัญญา ทำให้ต้นทุนการเงินลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นด้วย” น.ส.จุรีรัตน์ กล่าว
ขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นในปี 58 มีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 5,860 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 30% จากผลการดำเนินงานของบริษัท และการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ธนาคารกรุงเทพ