ผอ.สถาบันอาหารเผยผลสำรวจเทรนด์อาหารปี 2559 และอีก 5 ปี พบผู้บริโภคทั่วโลกใส่ใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ ลดน้ำหนัก โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุน้อยยินดีจ่ายและซื้อของแพงมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ พร้อมแนะผู้ประกอบการหันมาให้ความสำคัญตลาด E-commerce คาดการณ์ตลาดนี้ 5 ปีโตถึงกว่า 3 เท่าตัว มูลค่าตลาดในไทยกว่า 149 ล้านเหรียญ
นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กล่าวภายในงานสัมมนา “Trends of Innovative Health Food in Food Services & Food Industry ถึงแนวโน้มตลาดเพื่อสุขภาพในปี 2559 และอีก 5 ปีข้างหน้าว่า จากผลการสำรวจผู้บริโภคทั่วโลกของ The Nielsen Global Health & Wellness Survey 2015 พบว่าผู้บริโภค 50% กำลังพยายามลดน้ำหนัก โดยพยายามหาอาหารที่มีความสด ความเป็นธรรมชาติ และการแปรรูปน้อยที่สุด และต้องการคุณประโยชน์ที่ช่วยป้องกันโรค และสุขภาพแข็งแรง โดยยินดีที่จ่ายเงินในราคาที่สูง และจากการสำรวจยังพบว่าผู้บริโภคในกลุ่มที่อายุน้อย ส่วนใหญ่ยอมจ่ายเงินในราคาสูง ในขณะที่ผู้บริโภคในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปจะตระหนี่เหนียวไม่ค่อยยอมจ่ายเพื่อซื้ออะไรแพง
ดังนั้น เพื่อรองรับเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มดังกล่าว ผู้ประกอบการคงต้องหันมาใส่ใจ และให้ความสำคัญต่อการผลิตอาหารเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยที่ยินดียอมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพให้มากขึ้น สินค้าในกลุ่มนี้ เช่น เครื่องดื่ม หรืออาหารที่มีส่วนผสมของสารอาหารที่มีวิตามิน
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย จากการสำรวจมูลค่าการค้าอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบันและแนวโน้มอีก 5 ปีข้างหน้า การขายผ่านตลาด E-commerce จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดโลก รวมถึงตลาดในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยมูลค่าการค้าตลาดอาหารและเครื่องดื่มในปี 2014 ตลาดโลกมีมูลค่า 23,496.69 ล้านเหรียญสหรัฐ และขยับมาปี 2015 เพิ่มขึ้นเป็น 31,373.03 ล้านเหรียญ โตขึ้นกว่า 10% และคาดการณ์ว่าในปี 2016 เพิ่มเป็น 36,294.88 ล้านเหรียญ และในอีก 5 ปีข้างหน้า ในปี 2020 มูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มในตลาด E-commerce เพิ่มเป็น 64,749.45 ล้านเหรียญ เป็นการเพิ่มถึง 3 เท่าตัว ผู้ประกอบการต้องหันมาให้ความสนใจต่อการทำตลาดผ่านช่องทาง E-commerce ให้มากขึ้น
เช่นเดียวกับตลาดในประเทศไทย มูลค่าการค้าอาหารและเครื่องดื่มผ่านตลาด E-commerce ในไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มาก ในปี 2014 มูลค่าตลาด 38.77 ล้านเหรียญ และในปี 2015 เพิ่มเกือบ 50% เป็น 53.349 ล้านเหรียญ และคาดว่าในอีก 5 ปี คือปี 2020 มูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 146.694 ล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ผู้ประกอบการจะต้องเข้าไปให้ถึง ข้อควรปฏิบัติที่ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึง คือ การให้ความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ต่างๆ ของสินค้าที่ต้องแสดงให้ชัดเจนบนฉลาก อาจจะต้องเพิ่มมากกว่าเดิม แต่ที่สำคัญจะต้องเป็นข้อมูลกล่าวอ้างที่เป็นความจริง และโปร่งใส นอกจากนี้ จะต้องรับรู้ในความแตกต่างของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพราะในแต่ละประเทศมีความต้องการที่แตกต่างกัน เราจะนำความสำเร็จที่ขายในประเทศหนึ่งมาใช้กับอีกประเทศหนึ่งไม่ได้
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
