ชื่อ “ริม เดอ รอง” (Rim de’ Rong) ได้ยินแล้วอาจจะคิดว่าเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ทว่า แท้จริงแล้วเป็นการเล่นคำพ้องเสียงมาจากวิสาหกิจกลุ่มชุมชนแม่บ้าน “ริมร่อง” ต.มะเขือแจ้ อ.เมือง จ.ลำพูน นับเป็นไอเดียต้องกดไลก์ให้รัวๆ สำหรับเตรียมโกอินเตอร์ ด้วยการยกระดับ “ลำไย” ผลไม้ไทยไปใส่นวัตกรรมแปรรูปเป็นสินค้านานาชนิด ช่วยเพิ่มมูลค่า และเหมาะส่งออก จนคว้ารางวัลชนะเลิศแผนธุรกิจโอทอปดีเด่นระดับประเทศประจำปีนี้ (2558)
ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากคนรุ่นใหม่มาช่วยต่อยอดภูมิปัญญาทำการเกษตรในชุมชน เมื่อ “ปิยะภรณ์ สมพงษ์” หรือ “นิ่ม” ลูกหลานชาวสวนลำไย บ้านแม่ริมร่อง หลังเรียนจบด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา กลับมาพัฒนาอาชีพหลักของบ้านเกิด
เธอขยายความให้ฟังว่า ครอบครัวทำอาชีพเป็นเกษตรกรสวนลำไย โดยคุณป้า (พิมลศรี ชัยมนัส)ยังรับหน้าที่ประธานวิสาหกิจกลุ่มชุมชนแม่บ้านริมร่อง รวมกลุ่มแม่บ้านในท้องถิ่นมาแปรรูปลำไยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2549 เพื่อแก้ปัญหาลำไยล้นตลาด ราคาตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นตลาดยังค่อนข้างจำกัด ต่อปีกลุ่มฯ มีรายได้รวมกันแค่ 200,000-300,000 บาทเท่านั้น
“เมื่อ 5 ปีที่แล้วนิ่มเข้ามารับหน้าที่เป็นเลขาฯ กลุ่ม โดยตั้งเป้าจะช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนเราให้มีมูลค่ามากขึ้น เพราะนิ่มเห็นว่าจริงๆ แล้วลำไยไทยคุณภาพเป็นที่ยอมรับอยู่แล้ว อีกทั้งตลาดต่างประเทศก็มีความต้องการอีกมาก แต่ที่ผ่านมาขาดการพัฒนา และขาดการทำตลาดที่น่าสนใจมากเพียงพอ” เธอเผย
จากลำไยอบแห้งบ้านๆ ถูกยกเครื่องใส่นวัตกรรมอบแห้งด้วยระบบอินฟราเรด ช่วยให้เนื้อลำไยมีสีเหลืองทองสวยงาม กลายเป็น “ลำไยอบแห้งเนื้อสีทอง” โดยผลผลิตสด 10 กิโลกรัม เมื่ออบแห้งจะเหลือน้ำหนัก 1 กิโลกรัม พร้อมสร้างแบรนด์ “Sawasdee” (สวัสดี) แต่งตัวใหม่ใส่บรรจุภัณฑ์สวยงาม นอกจากนั้น พัฒนามาตรฐานการผลิตจนได้ อย. และ GMP กลายเป็นสินค้าของฝากส่งไปวางขายในห้างสรรพสินค้าเจ้าดัง และสนามบิน
เพียง 2 ปีนับจากแปลงโฉมยอดขายก้าวกระโดดจากเดิมกว่า 10 เท่าตัว ช่วยให้สินค้าจากวิสาหกิจกลุ่มชุมชนแม่บ้านริมร่องเป็นที่รู้จักในระดับประเทศ ได้รับรางวัลชนะเลิศโอทอปดีเด่นประเภทอาหารในปี พ.ศ. 2556
หลังแจ้งเกิดด้วยผลิตภัณฑ์ “ลำไยอบแห้งเนื้อสีทอง” ทางกลุ่มฯ ยังพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปลำไยต่างๆ อีกหลายประเภท เช่น ลำไยเคลือบช็อกโกแลต น้ำลำไยผง ลำไยสีทองในน้ำเชื่อม น้ำตาลกรวดจากลำไยอบแห้งสีทอง และลำไยไฟเบอร์ เป็นต้น พร้อมสร้างแบรนด์ใหม่ว่า “ริม เดอ รอง” (Rim de’ Rong) เป็นการเล่นคำพ้องเสียงกับบ้าน “ริมร่อง” ให้ภาพลักษณ์ดูสากล และยกระดับให้เป็นสินค้าเกรดสูงขึ้นไปอีก มุ่งไปสู่ตลาดส่งออก โดยเฉพาะรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในเร็วๆ นี้
ปิยะภรณ์เผยให้ฟังว่า “ริม เดอ รอง” จะเน้นสินค้าลำไยแปรรูปที่แปลกใหม่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนวัตกรรมการแปรรูปลำไยเป็นสินค้านานาชนิดของทางกลุ่มฯ ล้วนแต่เป็นผลงานการวิจัยและพัฒนาของสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่ได้ถูกนำมาใช้เชิงพาณิชย์มากนัก ทางกลุ่มฯ จึงเข้าไปติดต่อขอให้สถาบันการศึกษาช่วยมาเป็นที่ปรึกษาในการพัฒนาสินค้าร่วมกัน
“การวางตำแหน่งในการทำตลาดต่างประเทศ เรากำหนดให้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะจากงานวิจัยต่างๆ ยืนยันว่าลำไยมีคุณสมบัติดีต่อสุขภาพ ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของโลหิต บำรุงระบบประสาท สายตา มีไฟเบอร์สูง ช่วยขับถ่าย ต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น และยังเป็นผลไม้มงคลตามความเชื่อของชาวจีนด้วย” เลขาฯ กลุ่มอธิบาย และเผยต่อว่า
การแปรรูปลำไยช่วยเพิ่มมูลค่าจากการขายลำไยสดเฉลี่ย 2-3 เท่าตัว หรือบางตัวเพิ่มขึ้นเป็นหลักสิบเท่า ตัวอย่างที่น่าทึ่งอย่าง “ลำไยไฟเบอร์” ที่ใส่กล่องสวยงาม เหมาะมอบเป็นของขวัญ ใน 1 กล่องบรรจุจำนวน 12 ขวด ขายราคา 400 บาท ซึ่งใช้วัตถุดิบลำไยสดทั้งหมดไม่ถึง 1 กิโลกรัมเท่านั้น
ในส่วนการผลิตที่ต้องถ่ายทอดนวัตกรรมแปรรูปสมัยใหม่ไปสู่ภาคปฏิบัติของแรงงาน ที่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นแม่บ้านอายุค่อนข้างมากนั้น คุณนิ่มอธิบายให้ฟังว่า ใช้วิธีแบ่งหน้าที่ตามศักยภาพของสมาชิกแม่บ้านแต่ละคน นอกจากนั้น ส่งเสริมให้ไปเข้าอบรมความรู้ต่างๆ ที่ทางภาครัฐจัดขึ้นเสมอ รวมถึงปัจจุบันดึงคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ในชุมชนเข้ามาทำงานมากขึ้น
ปัจจุบันวิสาหกิจกลุ่มชุมชนแม่บ้านริมร่องมีจำนวนสมาชิกรวม 55 คน แบ่งเป็นสมาชิกประจำ 10 ราย และสมทบ 45 ราย โดยการผลิตจะรับซื้อลำไยสดจากสวนของสมาชิก เนื้อที่รวมประมาณ 500 ไร่ ในช่วงผลผลิตลำไยออกพร้อมกันจำนวนมาก ซึ่งจะอยู่ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของทุกปี โดยจะคัดเลือกซื้อลำไยเกรดดีที่สุด เจาะจงเฉพาะพันธุ์ “อีดอ” ให้ราคาสูงกว่าท้องตลาด 1-2 บาทต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นจะนำเข้ากระบวนการอบแห้ง แล้วเก็บสต๊อกไว้เพื่อค่อยๆ ทยอยนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำหรับขายตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ ผลการดำเนินกิจการของกลุ่มฯ โดยเฉลี่ยจะเติบโต 5-10% ทุกปี ยอดขายปีที่แล้ว (2557) อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาท ตลาดหลัก 70% ขายในประเทศ เช่น ร้านของฝาก ห้างสรรพสินค้า และสนามบิน ส่วน 30% ส่งออกผ่านตัวแทนไปยังประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย ไต้หวัน และสิงคโปร์ เป็นต้น
ดูผลประกอบการที่ผ่านมาถือว่าน่าชื่นใจไม่น้อยแล้ว ทว่า เลขาธิการกลุ่มเผยให้ฟังว่า ในความเป็นจริงตลาดยังมีความต้องการมากกว่านี้อีกมาก โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่ชื่นชอบสินค้าแปรรูปต่างๆ อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาติดขัดเรื่องกำลังการผลิตไม่เพียงพอ เพราะมีเตาอบลำไยแค่ 2 เตาอบ รองรับอบลำไยได้สูงสุดแค่ 3 ตันต่อวัน รวมถึงยังต้องอาศัยเงินสดจำนวนมากในการซื้อลำไยสดจากสมาชิก
“เนื่องจากการตลาดของเรานำหน้าการผลิตไปไกล ทำให้มีออเดอร์เข้ามาสูงจนเราผลิตไม่ทันตามความต้องการของตลาด ดังนั้น แผนเพิ่มกำลังผลิตเราได้ขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ซึ่งอนุมัติมาให้ 6 ล้านบาท โดยให้ทาง บสย. (บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรรมขนาดย่อม) ค้ำประกันให้เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนซื้อลำไย คาดจะเพิ่มกำลังผลิตได้กว่าเท่าตัว” ปิยะภรณ์ระบุ
เธอเผยด้วยว่า แผนการตลาดในส่วนแบรนด์ “สวัสดี” จะเน้นทำตลาดในประเทศ เป็นสินค้าของฝากแก่นักท่องเที่ยว และออกบูทตามงานแฟร์ต่างๆ ส่วนในต่างประเทศ “ริม เดอ รอง” จะมุ่งต่างประเทศอย่างจริงจัง อาศัยเพิ่มช่องทางขายผ่านออนไลน์ โดยดึงคนรุ่นใหม่มาร่วมเป็นทีมงาน นอกจากนั้น เตรียมเปิดศูนย์การเรียนรู้เพื่อเป็นต้นแบบให้แก่วิสาหกิจชุมชนอื่นๆ เข้ามาศึกษาและนำกลับไปพัฒนา สร้างผลิตภัณฑ์และแบรนด์ตัวเอง ซึ่งจะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมลำไยทั้งระบบไปในตัว
จากความพิเศษ ทั้งเชิงการพัฒนาสินค้า การผลิต การตลาด ตลอดจนวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน วิสาหกิจกลุ่มชุมชนแม่บ้านริมร่องคว้ารางวัลชนะเลิศแผนธุรกิจโอทอปดีเด่นระดับประเทศประจำปีนี้มาครองได้อย่างสมศักดิ์ศรี
นี่จึงเป็นตัวอย่างแห่งการยกระดับผลไม้ไทยไปสู่สากลอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้แบรนด์ “ริม เดอ รอง”
ติดต่อ โทร. 08-4613-6368, 08-9433-7273 หรือ www.sawasdeelongan.com IG: sawasee_longan , Line: สวัสดีลำไยอบแห้ง
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *