ต้องยอมรับว่า การทำการตลาดในปัจจุบันมีรูปแบบและวิธีคิด วิธีการสื่อสารแตกต่างจากสมัยก่อนเป็นอย่างมาก (อาจจะนับย้อนกลับไป 10 ปี) ดังนั้น หากเปรียบเทียบนักการตลาดยุคเก่ากับนักการตลาดยุคใหม่ มีวิธีคิด รูปแบบ ช่องทางการสื่อสารถึงผู้บริโภคแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และเช่นเดียวกันผลลัพธ์ หรือวิธีการวัดผล ก็แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน
หากผมเป็นบริษัทผลิตรองเท้า อยากให้นักการตลาดรุ่นเก๋า กับนักการตลาดออนไลน์ มาช่วยทำการตลาด คุณจะเห็นได้ถึงความแตกต่างของการทำแผนการตลาดของคน 2 กลุ่มนี้ได้อย่างชัดเจน
นักการตลาดรุ่นเก๋า (Traditional Marketer)
นักการตลาดรุ่นเก๋า ก็มีการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (Target Group) แล้ววางแผนการตลาด โดยใช้สื่อเด่นๆ มุ่งไปสู่สื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ ได้แก่ TV, สิ่งพิมพ์, วิทยุ, งานอีเว้นท์, สื่อพีอาร์ ซึ่งส่วนใหญ่สื่อที่นักการตลาดรุ่นเก๋า มักจะใช้ ก็มักจะอยู่ในกรอบรูปแบบนี้ และงบประมาณก็ใช้เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน อาจจะต้องขึ้นหลักหลายแสนบาทจนถึงล้านบาท จะทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างได้ผล และสุดท้ายการวัดผลก็เป็นไปได้ยาก คลุมเครือ อาจจะต้องไปจ้างบริษัททำ รีเสิร์ชมาวัดผลว่าสิ่งทีทำไปแล้วเป็นอย่างไรบ้าง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นขั้นตอนของการตลาดที่เราทำมากันช้านาน
นักการตลาดออนไลน์ (Online Marketer)
ลองมาดูกับนักการตลาดออนไลน์ เมื่อวางแผนการตลาด ก็จะมีการวางแผนสื่อออนไลน์ที่สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำแบบ 1 ต่อ 1 แบบรู้เลยว่า จะให้ผู้ชาย ผู้หญิง กะเทย อายุเท่าไร ชอบอะไรเป็นพิเศษ อยู่จังหวัดไหน อยู่ประเทศอะไรเห็นสื่อ “ทำให้การเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายไม่ใช่คนในประเทศอีกต่อไป”
หลังจากนั้น รูปแบบของสื่อที่จะสื่อออกไปหาลูกค้าก็มีความหลากหลายช่องทาง หลายรูปแบบ สามารถสื่อสารได้ทั้งภาพ เสียง วิดีโอ ทางออนไลน์ เว็บไซต์ มือถือ แท็บแล็ต ทำให้ผู้รับสื่อจะกลับมาดูเมื่อไรก็ได้ ทำให้มีความยืดหยุ่นอย่างมากในการรับสาร
ปัจจุบันคนไทยใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ใช้เวลากับสื่อเดิมๆ น้อยลง อย่างเห็นได้ชัด และการสื่อสารทางออนไลน์ไม่จำเป็นที่เจ้าของสินค้าจะพูดหรือสื่อสารเอง (Direct Communication) แต่อาจจะให้คนอื่นๆ คนที่มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ ในเว็บบอร์ด (Online Influencer) หรือ บล็อกเกอร์ รวมไปถึง เพื่อนๆ ของเค้า กลายเป็นสื่อให้กับสินค้าและแบรนด์ต่างๆ ได้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ในรูปแบบสื่อสารทางอ้อม (Indirect Communication) ซึ่งจะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ (Trust) สูงกว่าการสื่อสารในรูปแบบการโฆษณาแบบเดิมๆ
และนอกจากนี้สิ่งที่สื่อออนไลน์มีความได้เปรียบสื่อทั่วไป คือ สามารถวัดผลได้แม่นยำมากๆ รู้เลยว่า คนไหนดู ผู้ชาย ผู้หญิง อายุเท่าไร จังหวัดไหน ชอบดูอะไรเป็นพิเศษ และคนเหล่านั้นมีพฤติกรรมอย่างไรบ้างแบบทันที (Real Time) ทำให้เราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ ปรับปรุงการตลาดของเราให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และสุดท้ายงบประมาณหรือเงินที่ใช้กับสื่อออนไลน์นั้นไม่จำเป็นต้องใช้มากมายก็สามารถเริ่มต้นทำได้ อย่างการลงโฆษณาใน Google หรือ Facebook เพียงแค่ 10 บาทก็สามารถเริ่มต้นทำได้แล้ว และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบริษัทหรือทีมงาน เพราะคุณเองก็สามารถทำเองได้ทันที ไม่ยากผ่านหน้าเว็บไซต์
10 ข้อเปรียบเทียบระหว่างการตลาดรุ่นเก๋ากับการตลาดออนไลน์
การตลาดรุ่นเก๋า | การตลาดออนไลน์ | |
1 | เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้างๆ ไม่แม่นยำ | เข้าถึงได้แม่นยำระบุเพศ วัย สถานที่ได้ และเข้าถึงแบบ 1:1 |
2 | เข้าถึงคนได้เฉพาะในประเทศหรือพื้นที่นั้นๆ | เข้าถึงคนได้ทั่วโลก |
3 | รูปแบบของสื่อมีข้อจำกัด เวลา ความสมบูรณ์ของสื่อ กลับมาดูอีกทีได้ยาก | สื่อมีความหลากหลาย ภาพ เสียง วิดีโอ มาดูเมื่อไรก็ได้ |
4 | ช่องทางจำกัด ทีวี สิ่งพิมพ์ วิทยุ งานอีเว้นท์ | ช่องทางหลากหลาย เว็บไซต์ มือถือ |
5 | คนใช้เวลากับสื่อเดิมน้อยลง | คนใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ เข้าถึงคนตลอดเวลา |
6 | คนไม่ค่อยเชื่อ (เพราะเดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยเชื่อโฆษณาแล้ว) | มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะสามารถสื่อสารได้หลายแนวทาง ทั้งผ่านผู้มีอิทธิพลรอบๆ ตัว อย่างเพื่อนๆ หรือคนในโลกออนไลน์ |
7 | ติดตามลูกค้าลำบาก | ติดตามลูกค้า เก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้ทันที (Real Time) |
8 | วัดผลได้ยาก คลุมเครือ | วัดผลได้แม่นยำ ทุกคนดู คนเห็น คนซื้อ ได้ทุกระดับ |
9 | ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ถึงจะเริ่มได้ผล | งบประมาณคุ้มค่าเริ่มต้นที่ 10 บาทก็ทำได้ หรือ ฟรี.! |
10 | ต้องใช้คน ทีมงาน ที่มีความรู้มาช่วย | ทำได้เอง ซื้อสื่อได้เอง ควบคุมได้เอง |
พออ่านมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนการตลาดออนไลน์มันจะดูดีไปหมด แต่เอาจริงๆ การตลาดที่ได้ผลต้องขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย (Target Market) ของคุณ ว่าเป็นกลุ่มคนที่ใช้สื่อรูปแบบใดมากกว่า เช่น หากคุณต้องการเข้าถึงกลุ่มคนทำงานโรงงาน สินค้าชาวบ้านมากๆ การตลาดออนไลน์ก็คงไม่เหมาะที่จะใช้ครับ
แต่หากต้องการเข้าถึงกลุ่มคนทั่วไป ออนไลน์ก็ดูเป็นช่องทางที่ได้ผลดีไม่ใช่น้อย แต่หากต้องการความมีประสิทธิภาพมากที่สุด เราเองก็ต้องเลือกใช้ทั้งสื่อปกติ (Traditional Media) และสื่อออนไลน์ (Online Media) ผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และดูการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ว่า มีวิธีการรับสื่อในช่องไหน อย่างไรบ้างในตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อเราจะได้วางแผนการตลาดและการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดครับ
สุดท้ายอ่านมาถึงตรงนี้ หากท่านที่ไม่เคยใช้สื่อการตลาดออนไลน์ ผมก็เชื้อเชิญให้ใช้ครับ บทความนี้เหมาะมากกับคนที่ยังไม่คุ้นกับการตลาดออนไลน์ ลองพิมพ์หน้านี้ออกมาแล้วเอาไปให้หัวหน้าคุณอ่านดูครับ
หากคิดว่า ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ลองไปอ่านได้ที่เว็บไซต์ของผม www.pawoot.com ที่รวบรวมเรื่องพวกนี้ไว้
เข้าไปอ่านได้ฟรีๆ เลยครับ.!
@@@ ข้อมูลโดย นิตยสาร SMEs PLUS @@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *