ถ้าใครเป็นสาวก Social Media ตัวยง น่าจะเคยเห็นรูป หรือข้อมูลการรีวิวของร้านซีฟูดปิ้งย่าง Summer Street อยู่บ้าง รวมไปถึงตามเว็บบอร์ดรีวิวอาหารต่างๆ
ถึงแม้จะเปิดให้บริการไม่นาน แต่ Summer Street มาแรงกว่าที่คิด เมื่อลูกค้ากลุ่มแรกมากินแล้วติดใจในความสดของวัตถุดิบ บวกกับสไตล์ในการตกแต่งร้านที่มีเอกลักษณ์ ก็พากันถ่ายรูปแชร์ข้อมูลลงใน Social Media และเว็บบอร์ดต่างๆ
ท้ายที่สุดก็ถูกแชร์ต่อกันไปเรื่อยๆ ท้าทายให้นักชิมทั้งหลายมาลองความสดและอร่อย ของร้านซีฟูดปิ้งย่างน้องใหม่ ย่านซอยอารีย์ 2 ถนนพหลโยธินแห่งนี้
Summer Street เกิดจากหุ้นส่วนทางธุรกิจ 3 คน คือ “วี-ประเสริฐ คุรุปรีชารักษ์” และเพื่อนอีก 2 คน “ออย” และ “ก้าบ” ทั้งหมดอยู่ในสายงานเดียวกัน คือ เป็นดีไซเนอร์ นอกจากงานประจำแล้ว ทั้ง 3 คนยังเปิดบริษัทดีไซน์ร่วมกันอีกด้วย อยู่ที่ซอยอารีย์ 2
วีเล่าถึงที่มา และการมองหาโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมจากงานประจำ และบริษัทออกแบบที่ทำอยู่ มาสู่สายงานที่ไม่มีความถนัด อย่างการเปิดร้านอาหาร
“ไอเดียในการเปิดร้านอาหาร เกิดจากแรงบันดาลใจตอนที่ไปญี่ปุ่น ซึ่งเขาจะมีร้านปิ้งย่างอยู่ริมถนนเยอะมาก เรียกว่าปิ้งย่างสไตล์สึคายะ โดยมากจะเป็นร้านข้างทางง่ายๆ Open Air มีเตาแก๊ส กับวัตถุดิบมาให้ ลูกค้าก็ปิ้งกินไป จิบเบียร์ไป เป็นการให้ลูกค้าปิ้งด้วยตัวเอง อีกอย่างเพราะบ้านเมืองเขาอากาศดีด้วย ร้านประเภทนี้จึงได้รับความนิยมมาก
พอดีกับที่ร้านส้มตำที่เปิดขายอยู่ข้างออฟฟิศ ในซอยอารีย์ 2 ที่เปิดขายมานานเขาจะเลิกกิจการ พื้นที่เช่าในส่วนนี้ ซึ่งเป็นพื้นที่ข้างทางของถนนซอย (อารีย์ 2) ที่เป็นถนนส่วนบุคคลจึงว่างลง หากเราไม่เอาไว้ อีกไม่นานก็คงมีคนมาเช่าต่อเพื่อทำร้านอาหารข้างทาง ซึ่งในซอยนี้ก็มีอยู่หลายร้าน เลยตัดสินใจลงทุนร่วมกับเพื่อนอีก 2 คนเปิดร้านซีฟูดปิ้งย่าง ให้ลูกค้าปิ้งกินเองในสไตล์สึคายะแบบญี่ปุ่นขึ้น ในชื่อ Summer Street”
ร้านอาหารปิ้งย่างไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องแปลกในไทย เพราะร้านอาหารสไตล์นี้เกิดขึ้นนานแล้ว แถมยังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งแบบร้านขึ้นห้าง ราคาสูง และร้านหมูกระทะริมถนนที่มีราคาย่อมเยา แต่โดยมากมักจะโฟกัสไปที่เรื่องของเนื้อเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ วัว สารพัดรูปแบบ และอาจจะมีซีฟูดเป็นส่วนประกอบ
ในขณะที่ร้าน Summer Street มีคอนเซ็ปต์ของร้านที่ชัดเจนตั้งแต่แรก ว่าจะขายเฉพาะซีฟูด ซึ่งประกอบไปด้วยกุ้งก้ามกราม ปลาหมึก หอยแมลงภู่ หอยเชลล์ หอยหวาน และหอยแครง เลือกใช้น้ำจิ้มซีฟูดรสชาติจัดจ้านในแบบที่ถูกปากคนไทย
เมื่อคอนเซ็ปต์ในเรื่องเมนูอาหารชัดแล้ว อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน และเป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างความแตกต่าง และสร้างเอกลักษณ์ให้กับร้านอาหารน้องใหม่ คือ เรื่องของการตกแต่งร้าน ซึ่งต้องยอมรับว่ากลายเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสนใจไม่น้อย
“ในส่วนของตัวร้าน พวกเราเลือกที่จะนำโครงรถเก่าของน้ำอัดลมแบรนด์เอส ที่มีลักษณะเป็นตู้ และเคลื่อนที่ได้อยู่แล้ว มาดัดแปลงใหม่ทั้งหมด เรียกว่าสร้างขึ้นมาใหม่เลยก็ว่าได้จากโครงรถแบบเดิมๆ เพื่อให้ตรงกับความต้องการ และคอนเซ็ปต์ของร้าน
ภายในรถจะถูกสร้างให้สามารถประกอบอาหารได้จริง มีซิงค์สำหรับล้างจาน และบาร์เครื่องดื่มทางด้านหน้าของตัวรถ สำหรับลูกค้าที่อยากดื่มแค่เบียร์ เครื่องดื่ม หรือสั่งเป็น A La Carte ก็จะมีที่นั่งเป็นเก้าอี้แบบสตูลอยู่ 5 ที่ทางด้านหน้า และอีก 3 ที่ทางด้านข้าง จะมีพนักงาน 1 คนยืนประจำอยู่ที่บาร์เพื่อเสิร์ฟเครื่องดื่มโดยเฉพาะ
บอกได้เลยว่าการลงทุนในจุดนี้มีราคาสูง เพราะออกแบบตามที่อยากได้ และทำกันเองทุกอย่าง เนื่องจากพื้นที่ตรงนี้มันเป็นพื้นที่เช่า เราคงไม่สามารถตั้งร้านได้อย่างถาวรอยู่แล้ว ดังนั้นก็จะไม่ลงโครงสร้างอะไรที่มันถาวร หากเกิดอะไรขึ้นมาจะได้สามารถเคลื่อนย้ายได้เลยทันที รื้อถอนได้ง่าย โครงสร้างเบาเพราะไม่ได้ก่ออิฐติดกับพื้นที่
อีกทั้งโครงสร้างของร้านค้าสามารถนำมาทำเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ได้เลย สามารถขับเป็นรถบนท้องถนนได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องมีการใช้ทะเบียนของรถพ่วง แต่เราไม่ได้ใช้เคลื่อนที่ จอดขายประจำอยู่ตรงซอยอารีย์ 2”
อย่างที่บอกว่า หุ้นส่วนทั้ง 3 คนของ Summer Street ต่างก็เป็นดีไซเนอร์ มีความสามารถทางด้านการออกแบบอยู่แล้ว จึงเลือกที่จะออกแบบ ดีไซน์คอนเซ็ปต์ธุรกิจทุกอย่างขึ้นมาเอง ตั้งแต่การนำโครงรถเก่ามาดัดแปลงจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมไปถึงเรื่องของคอนเซ็ปต์ในการให้บริการอีกด้วย
ออย ผู้หญิงคนเดียวของกลุ่ม เล่าว่า ตัวเธอเองนั้นพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างจากการที่ทางบ้านทำค้าขาย ทำให้มองออกว่าการเปิดร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่จุกจิกอยู่มาก ดังนั้น คอนเซ็ปต์ต่างๆ ของร้านจึงต้องมีความชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้น การทำงานจะได้ง่าย และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“ถึงแม้ร้านของเราจะเป็นร้านริมทาง แต่เราก็พิถีพิถันกับรายละเอียดในทุกจุด ด้วยความที่เป็นผู้หญิง และมีอาชีพหลักเป็นนักออกแบบ เมื่อจะเปิดร้านอาหารทั้งทีก็อยากให้ดูดีในทุกรายละเอียด เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความตั้งใจ
อย่างเรื่องภาชนะที่ใช้ภายในร้าน หลายๆ คนอาจจะเลือกใช้เป็นจานพลาสติก หรือเมลามีนที่ตกแล้วไม่แตก แต่เราเลือกที่จะใช้จานเซรามิกที่ตกแล้วแตก ซึ่งตั้งแต่เปิดร้านมาก็ตกแตกไปแล้วหลายใบ แถมยังมีต้นทุนที่สูงกว่าค่อนข้างเยอะ
แต่เรามองว่าจานเซรามิกมันดูดีกว่า และจะส่งผลถึงความรู้สึกของลูกค้าด้วย ให้เขาเห็นว่าเราเลือกใช้แต่ของคุณภาพดี ตั้งแต่ตัววัตถุดิบ ไปจนถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในร้าน
เรื่องของเมนูอาหาร เราตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะมีแต่ซีฟูดเท่านั้น เพื่อให้เข้ากับสโลแกนของร้านที่เป็น Charcoal Grill Seafood อีกทั้งอาหารซีฟูดมันไม่มีไขมัน เหมือนพวกเนื้อหมู ที่จะส่งผลให้เกิดควันจากการปิ้งมากกว่า อาจจะรบกวนเพื่อนบ้านเราได้ อีกทั้งลูกค้าบางคนเป็นมุสลิมไม่กินเนื้อหมู หรือบางคนไม่กินเนื้อวัว ซีฟูดจะเป็นอะไรที่กินได้ทุกคน แต่เราก็จะขอความร่วมมือจากลูกค้าว่าอย่านำอาหารอย่างอื่นจากข้างนอกเข้ามาแจม เพราะเคยเจอเหมือนกัน บางคนแอบซื้อไส้กรอก ซื้อเบคอนเข้ามาปิ้ง
ส่วนเรื่องของน้ำจิ้ม เราก็ลงมือปรุงสูตรเอง เริ่มต้นจากรสชาติที่เราชอบ กินแล้วคิดว่ามันอร่อย เราเป็นคนต่างจังหวัด จะชอบกินรสชาติเผ็ด เปรี้ยว ไม่กินเค็มเลย แต่ช่วงแรกลูกค้าก็ทักว่ารสชาติน้ำจิ้มยังไม่โดนนะ อยากให้เค็มขึ้นกว่านี้ เราก็รับฟังเสียงของลูกค้าที่โดยมากเป็นคนกรุงเทพฯ ว่าเขาชอบกินรสชาติแบบไหน แล้วก็ค่อยๆ ปรับ จนถูกปากลูกค้าส่วนใหญ่
หรือแม้แต่เรื่องของอย่างโต๊ะอาหาร ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าโต๊ะที่เราเลือกใช้จะมีขนาดค่อนข้างเตี้ยกว่าโต๊ะตามร้านอาหารทั่วไป รวมถึงความสูงของเตาที่เลือกใช้ เพื่อให้ลูกค้าปิ้งย่างอาหารได้ในมุมที่สะดวกขึ้น และไม่บังระดับสายตาเวลาพูดคุยกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะ และให้ความรู้สึกที่สบายมากกว่า”
ในขณะที่ก้าบ หุ้นส่วนคนที่ 3 ที่มีส่วนสำคัญในการออกแบบ ดัดแปลงโครงสร้างของตัวร้านค้านั้น พื้นเพเดิมเป็นคนสมุทรสงคราม ทำให้เกิดความได้เปรียบในการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบ และยังบริหารจัดการในเรื่องของการส่งวัตถุดิบสดๆ ได้เกือบทุกวัน กลายเป็นจุดเด่นของร้านซีฟูดปิ้งย่างริมถนนในย่านอารีย์แห่งนี้
“จุดแรกเลยที่ลูกค้าสะดุดตา คือ การตกแต่งร้านของเรา ที่ดูเป็นสไตล์แบบฝรั่ง แต่สิ่งที่ทำให้ลูกค้ากลับมากินร้านเราอีก คือ ความสดของวัตถุดิบ ยอมรับว่าราคาอาจจะไม่ได้ถูกมากเพราะเรามีค่าขนส่งเกือบทุกวัน แต่ลูกค้าก็รับได้ เพราะเราเลือกใช้แต่วัตถุดิบคุณภาพดี ถ้าเกิดลูกค้าเจอว่าไม่สดสามารถเอามาเปลี่ยนได้เลยทันที ในส่วนของน้ำจิ้มก็ไม่ใส่ผงชูรส แต่ใช้มะนาวเป็นหลัก
เราจะจัดชุดซีฟูดปิ้งย่างเป็น 3 ไซส์ S M L ไซส์ S 399 บาท เหมาะสำหรับกิน 2 คน ไซส์กลาง 599 บาท เหมาะสำหรับกิน 2-3 คน ส่วนไซส์ L 999 เหมาะสำหรับกินกัน 4 คนขึ้นไป ทุกชุดจะมีอาหารเหมือนกันหมด แตกต่างกันที่ปริมาณ ซึ่งชุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจะเป็นชุดกลาง
สำหรับผลตอบรับ ต้องบอกว่าดีกว่าที่พวกเราคาดไว้มาก ถึงแม้ช่วงที่ผ่านมาจะเป็นหน้าฝน ลูกค้าก็เหมือนเตรียมใจมาแล้วว่าอาจจะเจอฝนตกได้ตลอดเวลาเพราะมันเป็นร้านแบบเปิด ถึงแม้เราจะมีพลาสติกใสคลุมให้เวลาที่ฝนตก แต่ยังไงก็มีเปียกบ้างอยู่ดี บางครั้งตกหนักๆ ก็น้ำท่วม ลูกค้าก็นั่งยกขาขึ้น แล้วกินกันต่อ
เหมือนกับลูกค้าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้ว ว่าถ้ามากินจะต้องเจอกับอะไรบ้าง บางครั้งรอคิวนานเพราะเราตั้งโต๊ะได้แค่ 8-10 โต๊ะเท่านั้น ก็อาจจะไปเดินเล่นแถวนี้ก่อน หรือบางครั้งมาก็เจอฝนตก น้ำท่วมซอย มีคนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอด แต่มันก็กลายเป็นคาแรกเตอร์ของร้าน Summer Street ไปแล้ว”
ถึงจะเป็นร้านแบบ Open Air ติดริมถนน แต่พวกเขาก็พยายามอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเช่าที่จอดรถ และห้องน้ำ ไว้ที่ตึกยศวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวร้าน
สำหรับที่จอดรถจะเสียค่าบริการชั่วโมงละ 20 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยสำหรับย่านกลางเมืองอย่างซอยอารีย์ ลูกค้าเองก็ยินดีที่จะเสียเงินในจุดนี้ แลกกับความสบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าจอดรถไว้แล้วจะโดนล็อกล้อ ส่วนห้องน้ำสามารถใช้บริการได้ฟรี แต่ต้องเดินมาขอกุญแจจากพนักงานก่อน
วีขยายความต่อไปว่า กลุ่มเป้าหมายของ Summer Street มีหลากหลาย ตั้งแต่เด็กวัยรุ่น คนทำงานตอนต้น ไปจนถึงคนรุ่นป้า เพราะอาหารซีฟูดถูกปากคนไทยทุกวัยอยู่แล้ว
“ร้านจะเปิดให้บริการวันจันทร์-เสาร์ เวลา 16.00-22.00 น. ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะเริ่มขายตั้งแต่ 17.00-23.00 น. ตั้งแต่เปิดร้านมาคนก็เต็มทุกโต๊ะเกือบทุกวัน ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์ลูกค้าจะต้องรอคิวนานหน่อย การตลาดที่เราใช้มีเพียงแค่ทาง Facebook และ Instagram เท่านั้น”
ต้องขอบคุณลูกค้าทุกคนมากที่มากินแล้วติดใจ ก็จะช่วยอัปรูป เช็กอิน จนร้าน Summer Street ถูกแชร์ต่อใน Social Media เยอะ และยังช่วยแนะนำแบบปากต่อปาก ทำให้ร้านเป็นที่รู้จักได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทุกคนจะรู้ดีว่าช่วงหน้าฝนมันเป็นช่วงปราบเซียนของคนค้าขายที่เป็นร้าน Open Air เป็นช่วงที่ยอดขายตกที่สุดแล้ว แต่พวกเราจงใจเลือกที่จะเปิดร้านในช่วงหน้าฝนเพื่อทดลองตลาด แต่ลูกค้าของเราก็สู้ไม่ถอย บางคนถึงกับเตรียมใส่เสื้อกันฝนมากัน 2 คนเพื่อนั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงหน้าบาร์ ทำให้พวกเราประทับใจมาก
การทดลองตลาดในช่วงหน้าฝนนี้ เพื่อเตรียมรับมือ เตรียมความพร้อมสำหรับช่วงหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง ด้วยความที่เป็นมือใหม่ในธุรกิจนี้ก็ต้องเรียนรู้จากลูกค้าไปเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงหน้าหนาวน่าจะได้เห็นการตกแต่งร้านที่เปลี่ยนไปตามฤดู สร้างความสนุกให้แก่ลูกค้าไปเรื่อยๆ ด้วยความที่เป็นดีไซเนอร์ เรื่องของการออกแบบพวกเราไม่ทิ้งลายอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องการขายแฟรนไชส์นั้น ยอมรับว่ามีคนติดต่อเข้ามาตลอด แต่เราไม่พร้อมที่จะขายแฟรนไชส์ เพราะกลัวว่าจะคุมในเรื่องคุณภาพของวัตถุดิบไม่ได้
การขยายธุรกิจในส่วนของร้านอาหารในอนาคต อาจจะเป็นเรื่องของการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ เลือกใช้คอนเซ็ปต์ของร้านอีกแบบหนึ่งไปเลย จะไม่มายุ่งกับ Summer Street ซึ่งมีคอนเซ็ปต์ของการเป็น Street Food อย่างชัดเจน”
ความสำเร็จของ Summer Street คือความสำเร็จของร้านอาหารข้างทางที่เกิดจากการดีไซน์รูปแบบของธุรกิจที่ชัดเจน สร้างความประทับใจให้แก่ผู้บริโภค และความโดดเด่นให้แก่ธุรกิจได้อย่างลงตัว
หากสนใจแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือจับคู่ธุรกิจ สามารถติดต่อกับทั้ง 3 คนได้ที่ www.facebook.com/pages/SummerStreet
@@@ข้อมูลโดย “นิตยสาร SMEs PLUS”@@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *