การต่อยอดธุรกิจจากความชอบ ยังคงเป็นเรื่องคลาสสิกที่ใช้ได้ดีกับผู้ประกอบการในระดับ SMEs อย่างราย “ธาณินทร์ มีมงคล” ก็เช่นกัน
ธาณินทร์เล่าว่า ไลฟ์สไตล์ส่วนตัว เป็นคนเล่นดนตรี และเล่นสเก็ตบอร์ด ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า คน 2 กลุ่มนี้ มักจะแต่งตัวในแนวแฟชั่นที่เรียกว่าสตรีทแวร์
หนึ่งในพฤติกรรมของการแต่งตัวในสไตล์นี้ จะมีถุงเท้าที่เรียกว่า Old School เป็นส่วนประกอบหนึ่ง เพราะมีความหนา และยาว เหมาะกับการใส่เล่นสเก็ตบอร์ด อีกทั้งยังมีความเป็นแฟชั่นในแนวของสตรีทแวร์อีกด้วย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ถุงเท้าแนวนี้ในประเทศไทย ได้รับความนิยมแค่เฉพาะกลุ่มเท่านั้น ต่างจากในเมืองนอกที่ได้รับความนิยมในกลุ่มใหญ่ จึงไม่มีใครนำเข้าถุงเท้า Old School เข้ามาขาย หากอยากได้ ก็ต้องสั่งซื้อเองจากเมืองนอก ทำให้มีราคาต่อคู่สูง บางแบรนด์อยู่ที่ 700-800 บาท
ตรงนี้เป็นช่องว่างทางธุรกิจ ที่ธาญินทร์มองเห็น จนสามารถต่อยอดมาสู่การสร้างธุรกิจถุงเท้าแบรนด์ Still Socks Exclusive ได้สำเร็จ
“ย้อนกลับไปเมื่อปีพ.ศ. 2553 ผมสั่งถุงเท้า Old School เข้ามาเพื่อใช้เอง เพราะในเมืองไทยไม่มีใครทำขาย ถ้าอยากได้จริงๆก็ต้องสั่งซื้อเอาเองจากเว็บนอก พอเอามาใส่ เพื่อนๆ น้องๆ ทั้งในกลุ่มที่เป็นนักดนตรี และกลุ่มที่เล่นสเก็ตบอร์ดก็สนใจ บอกว่าอยากได้ ขอซื้อต่อ หรือถ้าครั้งต่อไปจะสั่งซื้ออีก ให้สั่งมาเผื่อด้วย
เราก็อยากเช็คกระแสว่าเป็นอย่างไร เลยลองถ่ายรูปถุงเท้าที่ซื้อมา แล้วไปโพสต์ขายในในเว็บไซต์ Overclockzone ซึ่งเป็นชุมชนไอทีขนาดใหญ่ ตอนนั้นแค่ลองทำเล่นๆ แต่ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก มีแต่คนติดต่อขอซื้อ ทั้งๆที่ตอนนั้นเราไม่มีสต็อกของเลย แต่คนก็ยังโอนเงินกันเข้ามา เลยต้องบอกว่าของหมด รอสั่งของประมาณ 3 วัน แต่ที่จริงแล้วเรายังไม่มีเงินทุนที่จะซื้อของมาสต็อกไว้ก่อน ก็เลยต้องใช้วิธีพรีออเดอร์ พอคนโอนเงินเข้ามา เราก็ค่อยเอาเงินไปสั่งซื้อสินค้าอีกทีหนึ่ง”
เมื่อผลตอบรับจากการลองชิมลาง ขายในเว็บไซต์ Overclockzone ดีกว่าที่คาดคิดไว้มาก ก็เริ่มขยายมาวางขายใน Facebook ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดีไม่แพ้กัน ทำให้ธาณินทร์ เริ่มมองไปที่การสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้น
“เมื่อได้รับผลตอบรับที่ดี เราก็พักเรื่องการขายในอินเตอร์เน็ตไว้ก่อน เพราะวัตถุประสงค์หลักในการทำธุรกิจของเรา คือ การสร้างแบรนด์ถุงเท้าของตัวเอง การรับมาขายไปในอินเตอร์เน็ต มันจะไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว เราทดลองทำเพื่อให้รู้ว่า กระแสความต้องการของคนไทย มันไปได้ไหมมากกว่า
แต่ทีนี้การผลิตถุงเท้ามันเป็นเรื่องยาก เพราะโรงงานในไทย เขาจะรับผลิตขั้นต่ำจำนวนเยอะ 1 แบบต่อ 100 โหล ซึ่งถ้าเราตั้งใจจะทำถุงเท้าสัก 100 แบบ มันก็เป็นเรื่องยาก ต้องใช้เงินจำนวนเยอะ จึงต้องพักเรื่องของการสร้างแบรนด์เอาไว้ก่อน ที่สำคัญ คือ การหาเงินทุน
เพราะตัวผมเองมีแต่เงินเดือนประจำ ไม่ได้เป็นลูกคุณหนูที่ขอเงินทางบ้านเอามาลงทุนทำธุรกิจได้ ทุนก้อนแรกที่มีก็เอามาจากการขายถุงเท้าทางเว็บไซต์ ได้กำไรเท่าไร ก็เก็บเอาไว้เพื่อมาต่อยอดทำธุรกิจ ไม่ได้เอาไปใช้ทำอย่างอื่นเลย สมมติผมได้กำไรมา 100% ผมลง 100% เพื่อต่อทุนจาก 1 คู่ผมเพิ่มเป็น 2 คู่ 3 คู่ไปเรื่อยๆ
แต่การจะขายสินค้าได้ปริมาณมาก ผมมองว่าการมีหน้าร้านมันสำคัญ และของน่าจะขายได้ง่ายกว่า ถ้าลูกค้ามีโอกาสได้เห็น ได้สัมผัสกับสินค้าจริงๆ เพราะมีลูกค้าทางอินเตอร์เน็ตบางคน เขาบอกว่าชอบสินค้าของเรา แต่เขาไม่เคยสั่งซื้อของทางอินเตอร์เน็ต คนกลุ่มนี้เขาก็จะไม่กล้าซื้อ
อย่างที่บอกไปว่าเราไม่มีเงินทุนในการเช่าหน้าร้าน กำไรที่ได้จากการขายในอินเตอร์เน็ต ก็เอามาเป็นทุนในการสั่งซื้อถุงเท้า พอดีปีพ.ศ. 2554 มีเพื่อนเขาเช่าล็อคเปิดร้านขายของอยู่ที่ตลาดนัดรถไฟเก่า ตรงสวนจตุจักร เราก็ขอไปแจมกับเขา ไปปูผ้าวางถุงเท้าขาย ซึ่งมันก็ขายได้ เพราะตลาดนัดรถไฟคนมาเดินเยอะ ผลตอบรับก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”
ด้วยความที่ทำงานประจำเป็นหลัก ช่วงเวลาการขายของธาณินทร์ จึงมีแค่ 3 วัน ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยเริ่มขายตั้งแต่ 5 โมงเย็น ไปจนถึงประมาณตี 1
ในช่วงนั้นธาณินทร์ เริ่มหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ๆ เพื่อลดต้นทุนการนำเข้า จนไปพบกับเทรดเดอร์ชาวจีนที่อยู่ในเมืองไทย ที่มีถุงเท้าโบราณ หรือถุงเท้า Old School อยู่ในสต็อคจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้เทรดเดอร์ชาวจีนคนนี้ เป็นกำลังสำคัญในการนำเข้าถุงเท้าจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ส่วนมากแล้วก็จะมีโรงงานผลิตอยู่ที่ประเทศจีนเป็นหลัก
“ด้วยงานที่ทำ จึงทำให้มีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เวลาไปประเทศในเอเชียอย่างเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น จะเห็นเลยว่าการใส่ถุงเท้าของเขาเป็นเรื่องแฟชั่น แต่งตัวแบบไหนก็ต้องแมทช์ถุงเท้าให้เข้ากัน และจะมีร้าน Sock Shop อยู่เต็มไปหมด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบ้านเขาเป็นเมืองหนาว การใส่ถุงเท้าในชีวิตประจำวันจึงมีความสำคัญ
ตรงนี้จะต่างจากในบ้านเรา เพราะเป็นเมืองร้อน จึงไม่ค่อยมีใครทำถุงเท้าแฟชั่นออกมาเท่าไร แต่ผมมองว่าตลาดของกลุ่มนี้ก็ยังมีอยู่ เป็นกลุ่มวัยรุ่น และผู้หญิงที่ชอบแต่งตัว เพราะโดยมากก็รับกระแสแฟชั่นมาจากกลุ่มประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว ก็มองลู่ทางในกลุ่มนี้อยู่
ต่อมามีล็อคว่างที่ตลาดนัดรถไฟ ผมเลยเช่าล็อคเอง จากที่แต่ก่อนไปขอแจมกับเพื่อน พอมีร้านของตัวเอง คราวนี้ก็มีพื้นที่ในการลงสินค้าได้มากขึ้น เลยเริ่มขยายสินค้าออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ถุงเท้า Old School ที่มีกลุ่มเป้าหมายหลักชัดเจน เป็นกลุ่มคนที่เล่นสเก็ตบอร์ด และกลุ่มนักดนตรี รวมถึงคนที่ชอบการแต่งกายในสไตล์สตรีทแวร์
ส่วนสินค้ากลุ่มที่ 2 ที่เพิ่มเข้ามา คือ ถุงเท้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิง ที่นำเข้าจากประเทศเอเชียอย่างจีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี เพราะผมมองว่าตลาดนัดรถไฟมีวัยรุ่นผู้หญิงมาเดินเยอะ และผู้หญิงเขาชอบซื้อของ ชอบแต่งตัว เปลี่ยนของง่าย โดยจะเน้นไปที่ของคุณภาพดี คลาสสิก ไม่ใช่แบบลายการ์ตูนราคาถูกที่ขายกันตามท้องตลาด เพราะต้องการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นในตลาดถุงเท้า”
ส่วนจุดเริ่มต้นในการสร้างแบรนด์ถุงเท้า Still Socks นั้น เริ่มต้นมาจากการขยายหน้าร้านไปในห้างสรรพสินค้ายูเนี่ยนมอลล์ในปี พ.ศ. 2556
“ที่จริงแล้วยอดขายที่ตลาดนัดรถไฟก็เป็นไปได้ดี เพราะเสียค่าเช่าถูก แต่พอถึงช่วงหน้าฝน ก็กลายเป็นขายไม่ได้ เพราะมันเป็นตลาดนัดแบบกลางแจ้ง พอฝนตกคนก็ไม่มาเดินกัน บางครั้งผมเองก็ติดงานไปนั่งขายไม่ได้ กลายเป็นว่าต้องเสียค่าเช่าที่ไปเปล่าๆทุกเดือน
วันหนึ่งตอนฝนตกหนัก ขายของไม่ได้ ผมกับแฟนที่มาช่วยขายของ ก็เลยไปเดินเล่นรอให้ฝนหยุดที่ยูเนี่ยนมอลล์ เลยเกิดไอเดียว่าถ้ามีร้านที่นี่ ก็จะสามารถขายของได้ทุกวัน และตรงนี้ยังเป็นห้างสรรพสินค้าแฟชั่นขายปลีก ต่างจากแพล็ตตินั่มที่เน้นขายส่ง และมีเด็กวัยรุ่นมาเดินเยอะ ซึ่งก็ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา แต่ในตอนนั้นก็ยังไม่มีเงินทุน รอจนกระทั่งเงินโบนัสออก ก็เอาเงินโบนัสไปเช่าล็อคภายในห้างยูเนี่ยนมอล์ ประจวบกับที่ทางตลาดนัดสวนรถไฟ ต้องย้ายไปเปิดที่ศรีนครินทร์ พ่อแม่แม่ค้าโดยมากก็จะย้ายตามไปขายกัน แต่ผมไม่ไป เพราะมองว่ากลุ่มเป้าหมายในโซนนั้นมันไม่ใช่ เลยเอาเงินมาลงทุนในการเช่าร้านที่ยูเนียนมอลล์แทน โดยใช้ชื่อร้านว่า Still Socks
ส่วนตรงสวนจตุจักรเอง ถึงตลาดนัดรถไฟจะย้ายออกไป แต่ก็มีตลาดนัดเจเจ กรีน มาเปิด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนจตุจักร และไม่ไกลจากยูเนี่ยนมอลล์ด้วย ก็เลยไปลองขายที่เจเจ กรีน ด้วยอีกที่หนึ่ง ซึ่งในตอนแรกตลาดก็ยังเงียบๆอยู่ แต่ในปัจจุบัน คนเริ่มเดินกันเยอะ เริ่มคึกคักแล้ว ยอดขายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”
ยอดขายของหน้าร้านทั้ง 2 สาขานั้น สาขายูเนี่ยนมอลล์อยู่ที่เดือนละประมาณ 300,000 บาท ส่วนสาขาเจเจ กรีน อยู่ที่ประมาณ 200,000 บาท ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสาขาที่ทำกำไรได้มากกว่า เนื่องจากค่าเช่าที่ไม่แพง ตกวันละ 250 บาทเท่านั้น ในขณะที่สาขายูเนียนมอลล์ ตกวันละ 1,500 บาท ต้องมีค่าจ้างพนักงานประจำ แต่ก็มีข้อดีที่สามารถขายสินค้าได้ทุกวัน และเต็มเวลา
ถึงแม้จะยึดการนำเข้าสินค้าจากในแถบประเทศเอเชียเป็นหลัก แต่ธาณินทร์ก็ยังไม่ทิ้งความตั้งใจเดิม เรื่องการสร้างแบรนด์ถุงเท้าของตนเอง
หลังจากอยู่ในวงการนี้มา 4 ปี ทำให้จับจุดได้ว่า คนไทยชอบใส่ถุงเท้าแบบไหน รูปแบบ ลวดลายอย่างไร ที่จะได้รับความนิยม รวมไปถึงเรื่องการตั้งราคาขายที่เหมาะสม จึงเริ่มติดต่อโรงงานผลิตในประเทศไทย ให้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตนเองขึ้น
และเมื่อช่วงปลายเดือนกรกฏาคม 2557 สินค้าภายใต้แบรนด์ Still Sock Excusive ที่ธาณินทร์ออกแบบ และควบคุมการผลิตเองทั้งหมด ก็สามารถวางจำหน่ายได้แล้ว
ทั้งนี้ ธาณินทร์ยังคงจับไปที่กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มนักดนตรี กลุ่มคนที่เล่นสเก็ตบอร์ด และคนที่แต่งตัวในสไตล์สตรีทแวร์ นำร่องออกถุงเท้าแนว Old School โดยตั้งราคาขายทุกแบบ 180 บาท เพื่อจับกลุ่มเป้าหมายระดับบน และกลุ่มคนที่เป็นเป้าหมายหลักของสินค้าอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมายังไม่มีใครลงมาสร้างแบรนด์ถุงเท้าในตลาดกลุ่มนี้เลย
“การที่ตั้งราคาขายไว้สูง เพราะต้องการฉีกตัวจากสินค้าที่นำเข้ามาขาย ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักเขาจะเข้าใจ ว่ามันเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แบรนด์ แต่บางคนที่เป็นลูกค้าขาจรเขาจะตกใจ ว่าทำไมเราขายถุงเท้าแพงจัง คู่ละตั้ง 180 บาท
แต่อย่างเวลาเอาไปวางขายที่เจเจ กรีน ซึ่งจะมีชาวต่างชาติมาเดินเยอะ พอเขารู้ว่านี่เป็นแบรนด์ที่ผมออกแบบเอง เขาซื้อทันทีโดยไม่ถามราคาเลย โดยให้เหตุผลว่า งานออกแบบทุกอย่างมันคือศิลปะ ต้องมีต้นทุนทางความคิด เขาเข้าใจ และอยากสนับสนุน ไม่ว่าราคาจะแพงขนาดไหนก็ตาม
แน่นอนว่าในอนาคตเราจะไม่หยุดอยู่ที่ถุงเท้า Old School แต่จะขยายลงไปในไลน์ของถุงเท้าแฟชั่นสำหรับกลุ่มผู้หญิง ซึ่งแน่นอนว่าจะมีคุณภาพสูง และราคาแพงกว่าถุงเท้าแฟชั่นตามท้องตลาด อาจจะเป็นราคา 2 คู่ 120 เพื่อขยายฐานลูกค้าภายใต้แบรนด์ Still Socks Exclusive ออกไปในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งในส่วนนี้น่าจะใช้เวลาอีกประมาณครึ่งปี”
เป้าหมายในการทำธุรกิจระยะใกล้ คือ การเพิ่มไลน์สินค้าไปยังกลุ่มถุงเท้าแฟชั่นสำหรับสตรี ส่วนเป้าหมายในระยะไกล ธาณินทร์ มองว่าตลาดส่งออกมีความเป็นไปได้สูง อย่างตอนนี้เองก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อนที่อยู่ในอินโดนีเซีย อยากรับสินค้าภายใต้แบรนด์ Still Socks Exclusive ไปขาย
แต่ธาณินทร์ ต้องการโฟกัสตลาดในประเทศไทยให้มีความแข็งแรงมากกว่านี้ก่อน จึงค่อยตัดสินใจขยายไปยังตลาดส่งออก
จากนี้ไป คงต้องจับตาดูว่าถุงเท้าแนว Old School ภายใต้แบรนด์ Still Socks Exclusive ของฝีมือคนรุ่นใหม่ จะไปได้ไกลขนาดไหน
และถึงแม้ธาณินทร์จะมีสินค้าภายใต้แบรนด์ตนเองแล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งการนำเข้าถุงเท้าจากประเทศในแถบเอเชียเข้ามาวางขายควบคู่กันไป เพื่อสร้างรายได้ทั้ง 2 ช่องทาง
หากสนใจแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือจับคู่ธุรกิจกับแบรนด์ Still Socks Exclusive ติดต่อได้ที่ www.facebook.com/StillSocks หรือ 08 3199 0982
@@@ข้อมูลโดยนิตยสาร SMEs PLUS @@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *