หลักการบริหารเงินออมสำหรับกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันของตัวเองนั้น ควรแบ่งแยกและกระจายเงินออมเข้าไปในบัญชีต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจ มั่นคงและมั่งคั่งในชีวิต ขั้นแรกจะต้องมีการจดบันทึกรายรับและรายจ่ายเพื่อให้ทราบว่าใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งใดมากเกินไปบ้าง และระดับการออมเงินในแต่ละเดือนมากหรือน้อยเพียงใด จากนั้นจึงกระจายเงินเข้าไปในบัญชีประเภทต่างๆ ซึ่งจะสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 4 บัญชีหลัก ได้แก่
1.บัญชีเพื่อใช้จ่ายประจำเดือน จะเป็นเงินส่วนที่เก็บเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน สำหรับค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายทั่วไป เพื่อไม่ให้เงินขาดมือ ควรนำเงินมาใส่ในบัญชีนี้เอาไว้ประมาณ 1 - 2 เท่าของรายจ่ายประจำเดือน โดยควรเก็บเงินส่วนนี้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่มีบัตร ATM หรือบัตร Debit Card เพื่อความคล่องตัวในทุกการใช้จ่าย นอกจากนี้ อาจใช้บัญชีนี้มาผูกกับบัตรเครดิตเพื่อตัดเงินออกจากบัญชีเวลามีการเรียกเก็บเงิน เพื่อจะได้ไม่ลืมจ่ายค่าบัตรเครดิต รวมทั้งผูกบัญชีเพื่อจ่ายค่าน้ำค่าไฟด้วยก็ได้
2.บัญชีสำรองฉุกเฉิน เป็นบัญชีเพื่อการสำรองสภาพคล่องให้เพียงพอสำหรับรองรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยควรมีเงินอยู่ประมาณ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งควรจะเก็บเอาไว้ในกองทุนรวมประเภทตราสารตลาดเงิน หรือบัญชีเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง
นอกจากนี้ สำหรับกองทุนรวมตลาดเงิน แนะนำให้ผูกบัญชีออมทรัพย์กับบัญชีกองทุนรวมตลาดเงิน และเปิดบริการซื้อขายกองทุนผ่านอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ทำรายการซื้อขายกองทุนแบบออนไลน์ได้ตลอดเวลาเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน โดยข้อดีของกองทุนรวมตลาดเงินที่โดดเด่นกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และบัญชีเงินฝากประจำทั่วไป คือ กองทุนรวมตลาดเงินมักให้อัตราผลตอบแทนประมาณ 2 - 3% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝาก แต่ก็แลกมาด้วยสภาพคล่องที่ต่ำกว่าเล็กน้อย
3. บัญชีลงทุนเพื่อวัยเกษียณ คือบัญชีที่มีการลงทุนระยะยาวสำหรับนำไปเป็นเงินค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสุขสบาย โดยที่เงินส่วนนี้อาจแบ่งลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร ประกันชีวิต ประกันบำนาญ หุ้นกู้ หุ้นสามัญ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นสัดส่วนมากหรือน้อยตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ รวมทั้งกองทุนประหยัดภาษีอย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งบัญชีเพื่อวัยเกษียณนี้ แนะนำให้จัดสรรเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน เนื่องจากการออมเงินเพื่อการเกษียณแต่เนิ่นๆ จะทำให้ยอดที่ต้องออมเงินในแต่ละเดือน น้อยกว่าการเริ่มต้นออมเงินใกล้ๆ เกษียณ
4. บัญชีเงินลงทุนเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ อาจมีหลายบัญชี เนื่องจากมีหลายเป้าหมาย ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ ระยะเวลาการลงทุนจนถึงวันที่ต้องการใช้เงิน และความสำคัญของเป้าหมายไม่เหมือนกัน เช่น มีลูกเล็กๆ แล้วต้องการจะวางแผนให้ลูกเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา (เป้าหมายสำคัญ ระยะเวลาการลงทุนสั้น) หรือวางแผนส่งลูกเรียนปริญญาตรี (เป้าหมายสำคัญ ระยะเวลาการลงทุนยาว) หรือการวางแผนไปเที่ยวยุโรปตอนสิ้นปี (เป้าหมายสำคัญน้อย ระยะเวลาการลงทุนสั้น) ทั้งนี้ด้วยระดับความสำคัญของเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุนที่แตกต่างกัน จึงจะต้องลงทุนโดยจัดสรรเงินลงทุนในกองทุนรวมแต่ละชนิดไม่เท่ากัน คือ ถ้าเป้าหมายระยะสั้นหรือมีความสำคัญมาก ก็จะเน้นลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้แบบมีกำหนดระยะเวลา หรือกองทุนรวมตลาดเงินที่มีความมั่นคง เพื่อที่จะรักษาเงินต้นไม่ให้ขาดทุน แต่ถ้าเป้าหมายระยะยาว ก็จะเน้นลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนผสมที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เนื่องจากในระยะยาวผลตอบแทนของหุ้นมักจะมากกว่าตราสารหนี้ แม้ว่าจะมีความผันผวนสูงกว่าในระยะสั้นๆ ก็ตาม
บัญชีทั้ง 4 ประเภทนี้เป็นแนวทางในการกระจายรายรับไปใช้จ่ายและลงทุนเพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกัน จึงมีสินทรัพย์และสัดส่วนของการลงทุนในแต่ละบัญชีที่แตกต่างกันตามระดับความเสี่ยง ความสำคัญของเป้าหมายการออม และระยะเวลาของการลงทุน เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินของครอบครัวตามความตั้งใจหากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติม
#### ข้อมูลโดยทีมงาน K-Expert #####
สามารถปรึกษาปัญหาการเงิน และธุรกิจได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com และ เว็บบอร์ด K-Expert ซึ่งจัดทำขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ www.askKBank.com/K-Expert และติดตามข่าวสารการเงินได้ที่ Twitter@KBank_Expert
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *