วัฒนธรรมแช่บ่อน้ำแร่ของญี่ปุ่นหรือ “ออนเซน” ที่ครองใจคนทั่วโลก ถูกนำมาให้บริการ ณ ใจกลางกรุงเทพฯ ผสานเข้ากับบริการสปาไทย อันเลืองชื่อไม่แพ้กัน กลายเป็นไอเดียผนึกวัฒนธรรมบริการผ่อนคลายสองชาติไว้ด้วยกัน ถือเป็นจุดขายธุรกิจที่น่าสนใจ ภายใต้ชื่อ “ยูโนะโมริ ออนเซน แอนด์ สปา”
@@@ยกออนเซนแท้ๆ แบบต้นตำรับมาไว้กลางกรุง@@@
สมิทธิ์ เมฆอรุณกมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออนเซน รีทรีท แอนด์ สปา จำกัด เล่าแรงบันดาลใจให้ “ทีมงานหน้า SMEs ผู้จัดการออนไลน์” ฟังว่า จากที่ชอบเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น มักไปแช่ออนเซนเสมอๆ ทำให้รู้ว่า แม้แต่ในตัวเมืองหรือแหล่งชุมชนของญี่ปุ่นมีออนเซนเปิดอยู่ทั่วไปหมด ไม่จำเป็นต้องไปตามต่างจังหวัดเท่านั้น ทำให้เห็นโอกาสที่อยากนำรูปแบบธุรกิจออนเซนใจกลางเมือง มาเปิดที่กรุงเทพฯ ให้คนไทยได้สัมผัสไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงญี่ปุ่น
“จากที่ผมสัมผัสกับตัวเอง จะรู้สึกได้ว่า คนไทยเรามีความใกล้ชิดกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาก เราดูการ์ตูนญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็ก คนญี่ปุ่นและคนไทยก็มีความรักใคร่กันดี คนไทยนิยมกินอาหารญี่ปุ่นอย่างมาก มีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดกว่า 700 ร้าน อีกทั้ง คนที่เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นและได้ลองใช้บริการออนเซน แทบทุกคนจะชื่นชอบ และอยากไปใช้บริการอีก แต่จะเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อสัมผัสออนเซนแท้ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือจะไปแช่น้ำแร่ตามต่างจังหวัดของไทยก็ไม่สะดวกเช่นกัน เหล่านี้มันทำให้ผมเห็นโอกาสและช่องว่างทางธุรกิจที่เราจะเข้ามาช่วยเติมเต็มได้” เจ้าของธุรกิจ กล่าว
อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการลงทุน คือ ข้อมูลชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในกรุงเทพฯ ที่มีการลงทะเบียนกว่า 5 หมื่นคน และไม่ได้ทะเบียนอีก 2 หมื่นคน รวมถึงนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาเยือนไทยอีกปีละกว่า 1.2 ล้านคนต่อปี เบ็ดเสร็จมีชาวญี่ปุ่นอยู่ในไทยเกือบ 2 แสนคนต่อเดือน เมื่อรวมกับคนไทย และนักท่องเที่ยวอื่นๆ ที่อยากจะสัมผัสวัฒนธรรมออนเซนแท้ๆ ดังนั้น จึงมีจำนวนฐานลูกค้าเป้าหมายมากพอที่จะตัดสินใจเดินหน้าธุรกิจ
@@@ผนึกนวดแผนไทยเข้ากับออนเซน@@@
นอกจากนั้น จากที่สำรวจตลาดกลุ่มชาวญี่ปุ่น แทบทุกคนจะชื่นชอบสปาไทย โดยเฉพาะการนวดไทยมากเช่นกัน เป็นที่มาของไอเดียผสมผสานออนเซนเข้ากับการนวดไทย ช่วยเสริมกันได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากแช่น้ำแร่แล้ว กล้ามเนื้อจะคลายตัว เมื่อไปนวดไทยต่อจะช่วยให้ผ่อนคลาย และได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นไปอีก ถือเป็นอีกความแปลกใหม่ของรูปแบบบริการ
“วัฒนธรรมการผ่อนคลายทั้ง 2 ส่วน ของไทยและญี่ปุ่น สามารถมาเอื้อต่อกันได้พอดี แม้แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นก็ยังไม่มีบริการแบบนี้เลย ช่วยให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้นไปอีก ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ทั้งชาวญี่ปุ่นที่ทำงานในกรุงเทพฯ ที่อยากจะออนเซนเหมือนตอนที่อยู่บ้านเขา หรือชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวเมืองไทย เขาจะได้มาใช้บริการออนเซนแล้วนวดไทย ซึ่งถือเป็นของใหม่สำหรับเขา ส่วนลูกค้าคนไทยได้สัมผัสความแปลกใหม่ได้ออนเซนใจกลางเมือง ลูกค้าแต่ละคนมีทางเลือก อาจจะมาออนเซนอย่างเดียว หรือมานวดอย่างเดียว หรือทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป” หนุ่มเจ้าของธุรกิจ เสริม
@@@ลงทุน 70 ล. ยึดทำเลสุขุมวิท บริการแห่งแรกในไทย@@@
ธุรกิจร้าน “ยูโนะโมริ ออนเซน แอนด์ สปา” ถือเป็นออนเซนแท้ๆ แห่งแรกและแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ใช้เงินลงทุนกว่า 70 ล้านบาท เลือกทำเลเช่าพื้นที่อายุสัญญา 12 ปี เปิดในโครงการเอ สแควร์ ซ.สุขุมวิท26 ย่านที่ชุมชนชาวญี่ปุ่นพักอาศัยและทำงานอยู่มากที่สุด ก่อสร้างบนเนื้อที่ 475 ไร่ พื้นที่ใช้สอย 2,500 ตารางเมตร เป็นอาคาร 2 ชั้น ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายด้วยต้นไม้และวัสดุธรรมชาติ เพื่อให้ผู้มาใช้บริการสัมผัสได้ถึงความสงบเงียบ หลีกหนีความวุ่นวายของชีวิตในเมืองหลวง
บ่อออนเซน จะแยกชาย-หญิง ขนาดบ่อเล็กใหญ่ต่างกันไป รวม 20 บ่อ 6 ประเภท ได้แก่ 1.บ่อน้ำแร่ร้อน อุณหภูมิ 37-44 องศาเซลเซียส คุณสมบัติช่วยบำรุงผิวพรรณและบรรเทาอาการปวดเมื่อย 2.บ่อโซดาสปา บรรเทาโรคความดัน บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ 3.บ่อสมุนไพรในถังไม้สัก ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้า 4.บ่อน้ำเย็น อุณหภูมิ 17-19 องศาเซลเซียส ช่วยกระชับผิว 5. บ่อจากุชชี่แบบญี่ปุ่น ช่วยโลหิตไหลเวียนดีขึ้น และ 6.บ่อหินกลางแจ้งในสวนสไตล์ญี่ปุ่น ค่าบริการ 450 บาทต่อคน ลูกค้าจ่ายครั้งเดียว สามารถใช้บริการได้ทุกบ่อ ตลอดทั้งวัน
ขณะที่บริการสปาไทย มีทั้งการนวดไทย นวดเท้า ขัดตัว ประคบสมุนไพร ฯลฯ ค่าบริการเริ่มต้นที่ 350 บาท นอกจากนั้น ภายในบริเวณยังมีบริการอื่นๆ ทั้งคลินิกความงาม ร้านกาแฟ และร้านอาหารญี่ปุ่น
สมิทธิ์ เผยว่า เริ่มเปิดบริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา อาศัยทำตลาดผ่านทั้งสังคมออนไลน์ และลงสื่อโฆษณาสำหรับชาวญี่ปุ่นในไทย รวมถึง ทำโปรโมทร่วมกับบริษัททัวร์ต่างๆ และร่วมมือกับบัตรเครดิต JCP มอบให้สมาชิกผู้ถือบัตร โดยผลตอบรับเท่าที่ผ่านมา นับว่าประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ศักยภาพร้านรองรับลูกค้าสูงสุด ได้ประมาณ 300 คน ปัจจุบันมียอดลูกค้าประมาณ 200 คนต่อวัน โดยเฉลี่ยลูกค้าหนึ่งคนที่เข้าร้านจะใช้จ่ายประมาณ 600 บาท จากแนวโน้มดังกล่าวคาดจะทำให้ธุรกิจคืนทุนได้ตามเป้าภายใน 3 ปี
“เริ่มแรกเราวางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่ชาวญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันพบว่า คนไทยให้การตอบรับที่ดีเกินคาด สูงกว่าชาวญี่ปุ่นด้วยซ้ำ สัดส่วนใช้บริการประมาณ 40% ส่วนชาวญี่ปุ่นประมาณ 35% ที่เหลือจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทย ส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย มีทั้งตั้งแต่กลุ่มวัยรุ่น และคนทำงาน ซึ่งในอนาคตผมอยากให้กลุ่มลูกค้าเราเป็นกลุ่มครอบครัวที่มาใช้บริการพร้อมๆ กัน ตั้งแต่พ่อแม่ลูก และปู่ย่าตายาย” นักธุรกิจหนุ่ม เสริม (กรุณาคลิกอ่านต่อหน้า 2 >>>)
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
@@@ ชูประโยชน์น้ำแร่ไทยให้โลกตะลึง@@@
สมิทธิ์ เผยว่า น้ำแร่ที่มาใช้ภายในบ่อออนเซน นำมาจากแหล่งธรรมชาติทั่วเมืองไทย หวังนำเสนอคุณประโยชน์น้ำแร่ไทยให้รับรู้แก่คนทั่วไปอย่างแพร่หลาย เริ่มแรกเป็นบ่อน้ำแร่จาก จ.ระนอง ปัจจุบันเป็นบ่อจากวัดวังขนาย จ.กาญจนบุรี และต่อไปจะสรรหาจากแหล่งน้ำแร่อื่นๆ ทั่วไทย เช่น แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงราย เป็นต้น
ขั้นตอนนำน้ำแร่มานั้น จะขนส่งทางรถบรรทุกน้ำขนาดใหญ่ เที่ยวละ 1.5 หมื่นลิตร โดยติดต่อขอจากเจ้าของสถานที่ ซึ่งมีทั้งภาครัฐและเอกชน จากนั้น นำน้ำแร่บรรทุกใส่รถแล้วนำมาเทไว้ที่บ่อกักเก็บน้ำใต้ดินที่จุได้กว่า 3 หมื่นลิตร ด้านรักษาความสะอาด มีทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นวางระบบให้และดูแลอย่างใกล้ชิด มาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งระบบกรองตะกอนสิ่งสกปรกออกไป แต่คงรักษาแร่ธาตุไว้ รวมถึงหมุนเวียนเติมน้ำใหม่สม่ำเสมอ เช่นเดียวกับระบบของสระว่ายน้ำ
“ในความเป็นจริงจะพบว่า น้ำแร่เมืองไทยมีคุณภาพดีไม่แพ้ของญี่ปุ่น คุณสมบัติเด่น คือ ใสไม่มีกลิ่นก๊าซ กรดกำมะถัน สามารถนำมาใช้ได้โดยไม่ต้องบำบัดเหมือนบางบ่อในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเราพยายามจะติดต่อนำน้ำแร่จากหลายๆ แหล่งทั่วไทยมาให้บริการ ซึ่งอาจจะมีปัญหาด้านขนส่งบ้าง แต่เราก็จะพยายาม เพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์ที่แตกต่างกันไป รวมถึง ช่วยโปรโมทคุณสมบัติของน้ำแร่ไทยจากแหล่งต่างๆด้วย” เขา เผย
@@@สร้างวัฒนธรรมออนเซนแท้ๆ ให้ติดตลาด@@@
ด้านมารยาทการใช้บริการของ “ยูโนะโมริ ออนเซน แอนด์ สปา” พยายามเคร่งครัดยึดแนวปฏิบัติแบบญี่ปุ่นแท้ๆให้มากที่สุด เช่น ต้องถอดเสื้อผ้าออกหมด ก่อนลงออนเซนต้องชำระล้างร่างกายก่อน ห้ามพกอุปกรณ์สื่อสารใดๆ ทั้งสิ้น ห้ามส่งเสริมดัง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับสตรีไทยที่นิสัยค่อนข้างขี้อาย อนุโลมใส่ชั้นในแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งได้
“คำถามที่ผมมักพบบ่อย คือ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน จะเหมาะกับแช่ออนเซนเหรอ? ผมก็ต้องอธิบายว่า วัตถุประสงค์ของออนเซนไม่ได้มีไว้คลายหนาว แต่นิยมแช่เพื่อพักผ่อน ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจให้กลับมาแข็งแรง ช่วยลดความตึงเครียด และนอนหลับสบาย คนญี่ปุ่นจึงนิยมออนเซนตลอดทั้งปี ดังนั้น หากสามารถสื่อสารให้คนไทยเข้าใจวัตถุประสงค์ที่แท้จริงได้ เรื่องสภาพอากาศร้อนจึงไม่น่าจะเป็นอุปสรรค” เจ้าของธุรกิจ เล่าและกล่าวต่อว่า
“ความต้องการของผมอยากสร้างประสบการณ์ออนเซนแท้ๆ ให้ลูกค้าคนไทยได้รับรู้และสัมผัส จะเห็นได้ว่าทั้งการตกแต่งสถานที่ อุปกรณ์ต่างๆ และวิธีปฏิบัติเหมือนกันที่ประเทศญี่ปุ่นเลย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงไทยที่นิสัยค่อนข้างขี้อาย ผมตัดสินใจอนุโลมให้ใส่ชุดชั้นในแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งลงแช่ออนเซนได้ ซึ่งยอมรับว่า เป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างยาก เพราะเราก็เกรงว่าจะเสียลูกค้าสุภาพสตรีญี่ปุ่นไปเช่นเดียวกัน แต่ในสาขาแรกของเรา ขอคงรูปแบบนี้ไว้ก่อน ส่วนอนาคตหากเราเปิดสาขาต่อๆ ไป อาจจะพิจารณาดูพฤติกรรมลูกค้าอีกครั้ง” ผู้บริหารวัย 35 ปีเผย
แม้จะเปิดมาเพียง 6 เดือน ทว่า ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างสูง จากผลตอบรับดีทั้งของลูกค้า สื่อมวลชน และบริษัททัวร์ จนมีแนวโน้มจะขยายสาขา 2 ต่อไป อยู่พิจารณาทำเลจะเปิดในกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม ในมุมของสมิทธิ์ เผยว่า สิ่งสำคัญเหนือกว่าการจุดกระแสให้ติด คือ รักษาความนิยมให้อยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ธุรกิจสำเร็จอย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญที่สุดอยู่ที่การรักษามาตรฐาน คุณภาพ และงานบริการของพนักงาน
“ด้านการตลาด ผมเชื่อว่า เรามีจุดเด่นที่ค่อนข้างแข็งแรง กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน จากความสำเร็จของเรา ผมเชื่อว่าในอนาคตจะมีออนเซนในเมืองไทยรายอื่นๆ เกิดขึ้น ผมไม่ได้กังวลจะมาเป็นคู่แข่ง กลับมองว่าเป็นสิ่งดีด้วยซ้ำ เพื่อช่วยกันเสริมให้ตลาดออนเซนในเมืองไทยมันโตขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด การแข่งขันจะต้องไปวัดกันที่คุณภาพ และงานบริการ ด้วยความที่เราเป็นเจ้าแรก ผมยังหวังว่าแบรนด์ของเราจะเป็นที่เชื่อถือ และจดจำของลูกค้าได้ดีที่สุด” สมิทธิ์ กล่าวในตอนท้าย
ร้าน“ยูโนะโมริ ออนเซน แอนด์ สปา” เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.30-23.00 น. ติดต่อ 0-2259-5778 หรือ www.facebook.com/YunomoriOnsen
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
