สมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทยชี้ธุรกิจของขวัญยังเติบโตดี เชื่อแนวโน้มของขวัญ Go Green มาแรงหลังพบตลาดต่างประเทศตอบรับดี ส่วนตัวเลขส่งออกสหรัฐฯ ยังติดลบ ขณะที่ตลาดอาเซียนยอดพุ่งกว่า 30%
นายจิรบูลย์ วิทยสิงห์ เลขาธิการสมาพันธ์ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจของขวัญปีนี้ โดยเฉพาะตลาดองค์กร (Corporate Gift) จะยังเติบโตจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 15 ของมูลค่าตลาดรวมประมาณ 11,000 ล้านบาท โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดมีการจัดทำตะกร้าของขวัญปีละประมาณ 900 ล้านบาท ส่วนยอดการส่งออกปีนี้คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 3 จากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยของขวัญเป็น 1 ใน 3 ของยอดส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ของไทยที่มียอดส่งออกปีละ 90,000 ล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนแรกยอดส่งออกติดลบต่ำกว่าร้อยละ 1 แต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามามากเพราะเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ทำให้ทั้งปีนี้การส่งออกจะเติบโตเป็นบวกได้ร้อยละ 3
โดยแนวโน้มความนิยมสินค้าของขวัญอยู่ใน 4 รูปแบบ ได้แก่ Go Green หรือสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, สินค้ารีไซเคิล, สินค้าที่ช่วยประหยัดพลังงาน และสินค้าเทคโนโลยีใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาขายได้แม้มีลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าจากไทย เพราะสินค้าจากจีนมีต้นทุนเพิ่มขึ้นแต่ลูกค้าขอยืนราคาซื้อเดิมโดยอ้างวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้ผู้ประกอบการไทยยิ่งมีกำไรน้อยลงและแข่งขันยากขึ้น
ส่วนตลาดส่งออกหลักยังเป็นสหรัฐฯ แต่ติดลบร้อยละ 10 รองลงมาเป็นญี่ปุ่น เติบโตเป็นบวกเพราะสินค้าไทยได้รับการยอมรับ ขณะที่ตลาดอังกฤษและสหภาพยุโรปยังติดลบ ยกเว้นสวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสินค้าระดับบนยังคงเติบโตดี ส่วนตลาดอาเซียนขยายตัวอย่างมากถึงร้อยละ 30 แต่เป็นการเติบโตบนฐานที่ต่ำ
ทั้งนี้ ตลาดที่ต้องให้ความสำคัญต่อไปคือ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นตลาดใหม่ที่ทดแทนตลาดยุโรปได้ในอนาคต โดยรัฐบาลจะต้องให้การสนับสนุนด้านการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละตลาด เช่น อินเดีย ที่ต้องการสินค้าคุณภาพระดับปานกลาง และให้ความสำคัญเรื่องสีที่ตลาดนิยม ส่วนตลาดจีนมีสัญญาณการเติบโตที่ดีมาก โดยช่วงที่ผ่านมาไทยส่งสินค้าเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีรายได้สูง ซึ่งรัฐบาลจะต้องช่วยเหลือเอกชนในการเข้าไปเจาะตลาดเหล่านี้ด้วย
“แม้ธุรกิจของขวัญจะยังมีการเติบโตที่ดี แต่ยังประสบปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงจากต้นทุนค่าแรง ค่าขนส่ง และวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ต่างชาติ เช่น จีน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของจีนเข้ามาเจาะตลาดไทย ตามด้วยสิงค์โปร์ และมาเลเซีย ที่เร่งเจาะตลาดไทยด้วยการทำแค็ตตาล็อกเป็นภาษาไทยเพื่อให้มีความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเชื่อว่าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ไทยอาจต้องสูญเสียตลาดให้คู่แข่งมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลควรเข้ามาให้ความช่วยเหลือ” นายจิรบูลย์กล่าวทิ้งท้าย