สศอ.แนะแนวทางภาคอุตสาหกรรมรับมือกระแสสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลง เน้นรู้ทันกฎระเบียบการค้าเสรี และใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีให้มากที่สุด พร้อมพัฒนาการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามกระแสสังคม
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สศอ.เปิดเผยถึง การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับแนวโน้มกระแสสังคมและเศรษฐกิจโลก (Global Megatrend) ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา รวมถึงปัจจัยที่กำหนดความสามารถในการแข่งขันของตลาดในอนาคต โดยอุตสาหกรรมไทยต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันจากความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantages) เพราะปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ผู้อื่นจะสามารถลอกเลียนหรือนำไปพัฒนาต่อได้ยาก ถือเป็นปัจจัยที่มีความเฉพาะเจาะจง แสดงความเป็นเอกลักษณ์ เช่น ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หรือความรู้ หรือแม้แต่ธรรมชาติที่ประเทศอื่นไม่มี
ทั้งนี้ลักษณะของอุตสาหกรรมไทยที่จะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนนั้น ผอ.สศอ. กล่าวว่า จะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ของความตกลงการค้าเสรีอย่างมีประสิทธิภาพได้, เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดอย่างชาญฉลาด โดยต้องสามารถที่จะนำเอาประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ที่ก้าวหน้า เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี มาผสมผสานกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เหนือกว่าคู่แข่ง หรือสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีกว่า
นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมจะต้องมุ่งพัฒนาเพื่อความยั่งยืน เนื่องจากแนวทางการพัฒนาในอนาคตจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ดังนั้น อุตสาหกรรมจะต้องอยู่ร่วมกับสังคมได้ในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของสังคม และมนุษยธรรม ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบจนถึงการผลิต การใช้และการกำจัดภายหลังการใช้ โดยทุกขั้นตอนของอายุของผลิตภัณฑ์นั้นต้องไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโล , เป็นอุตสาหกรรมที่จะต้องมีการปรับตัวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวทางธุรกิจ และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และเป็นอุตสาหกรรมที่ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สศอ.เปิดเผยถึง การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับแนวโน้มกระแสสังคมและเศรษฐกิจโลก (Global Megatrend) ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา รวมถึงปัจจัยที่กำหนดความสามารถในการแข่งขันของตลาดในอนาคต โดยอุตสาหกรรมไทยต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันจากความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantages) เพราะปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ผู้อื่นจะสามารถลอกเลียนหรือนำไปพัฒนาต่อได้ยาก ถือเป็นปัจจัยที่มีความเฉพาะเจาะจง แสดงความเป็นเอกลักษณ์ เช่น ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หรือความรู้ หรือแม้แต่ธรรมชาติที่ประเทศอื่นไม่มี
ทั้งนี้ลักษณะของอุตสาหกรรมไทยที่จะสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนนั้น ผอ.สศอ. กล่าวว่า จะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ของความตกลงการค้าเสรีอย่างมีประสิทธิภาพได้, เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดอย่างชาญฉลาด โดยต้องสามารถที่จะนำเอาประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ที่ก้าวหน้า เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ และนาโนเทคโนโลยี มาผสมผสานกันเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เหนือกว่าคู่แข่ง หรือสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ดีกว่า
นอกจากนี้ภาคอุตสาหกรรมจะต้องมุ่งพัฒนาเพื่อความยั่งยืน เนื่องจากแนวทางการพัฒนาในอนาคตจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ดังนั้น อุตสาหกรรมจะต้องอยู่ร่วมกับสังคมได้ในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของสังคม และมนุษยธรรม ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบจนถึงการผลิต การใช้และการกำจัดภายหลังการใช้ โดยทุกขั้นตอนของอายุของผลิตภัณฑ์นั้นต้องไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโล , เป็นอุตสาหกรรมที่จะต้องมีการปรับตัวสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวทางธุรกิจ และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และเป็นอุตสาหกรรมที่ปรับตัวได้ดีในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
