สภาอุตสาหกรรม ชี้ตัวเลขความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ. ลดลงอยู่ที่ 63.0 จากเดือนม.ค. อยู่ที่ระดับ 64.1 แนะผู้ประกอบการปรับตัว ลดต้นทุนการผลิต ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แนะรัฐฯ เร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว หวังกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน สร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมือง พร้อมเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนให้มากขึ้น
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,215 ตัวอย่าง ครอบคลุม 39 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 63.0 ลดลงเล็กน้อยจากเดือนมกราคม ที่อยู่ระดับ 64.1
นายสันติ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากปริมาณการผลิตที่ปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการก็ได้ปรับตัวโดยพยายามลดต้นทุนการผลิต หาแหล่งวัตถุดิบใหม่ที่มีต้นทุนต่ำ ประกอบกับปรับปรุงการบริหาร องค์กร และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้มากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 73.0 ปรับลดลงจากเดือนมกราคม ที่อยู่ในระดับ 74.5 และยังเป็นระดับที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อยู่ในระดับ 99.9 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคต เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัว ตลอดจนปัญหาการเมืองในอนาคต ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีนโยบายออกมากระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็ยังต้องรอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ กลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ ปรับตัวลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากยอดขายที่หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากการจำหน่ายสินค้าในตลาดต่างประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น จากกรณีประเทศคู่ค้ามีนโยบายปกป้องสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น ส่งผลต่อเนื่องมายังปริมาณการผลิตที่ต้องปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลงไป
สำหรับข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ต้องการให้รัฐเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐให้มีผลโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน สร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมือง และเสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุน กระตุ้นให้สถาบันการเงินพิจารณาปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ภาคอุตสาหกรรมให้มากขึ้น และควรผ่อนคลายกฎระเบียบในการปล่อย สินเชื่อ ช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านภาษีต่าง ๆ เช่น การลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมส่งออก และช่วยควบคุมดูแลเรื่องราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบไม่ให้สูงเกิน
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,215 ตัวอย่าง ครอบคลุม 39 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 63.0 ลดลงเล็กน้อยจากเดือนมกราคม ที่อยู่ระดับ 64.1
นายสันติ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากปริมาณการผลิตที่ปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ลดลง ส่งผลให้ผลประกอบการปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการก็ได้ปรับตัวโดยพยายามลดต้นทุนการผลิต หาแหล่งวัตถุดิบใหม่ที่มีต้นทุนต่ำ ประกอบกับปรับปรุงการบริหาร องค์กร และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้มากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
สำหรับดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 73.0 ปรับลดลงจากเดือนมกราคม ที่อยู่ในระดับ 74.5 และยังเป็นระดับที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อยู่ในระดับ 99.9 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมในอนาคต เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัว ตลอดจนปัญหาการเมืองในอนาคต ถึงแม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่จะมีนโยบายออกมากระตุ้นเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็ยังต้องรอการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ กลุ่มที่เน้นตลาดต่างประเทศ ปรับตัวลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากยอดขายที่หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม เนื่องจากการจำหน่ายสินค้าในตลาดต่างประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น จากกรณีประเทศคู่ค้ามีนโยบายปกป้องสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น ส่งผลต่อเนื่องมายังปริมาณการผลิตที่ต้องปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลงไป
สำหรับข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ต้องการให้รัฐเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐให้มีผลโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน สร้างเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเมือง และเสริมสร้างบรรยากาศในการลงทุน กระตุ้นให้สถาบันการเงินพิจารณาปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ภาคอุตสาหกรรมให้มากขึ้น และควรผ่อนคลายกฎระเบียบในการปล่อย สินเชื่อ ช่วยเหลือผู้ประกอบการในด้านภาษีต่าง ๆ เช่น การลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบ การลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล ดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมส่งออก และช่วยควบคุมดูแลเรื่องราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบไม่ให้สูงเกิน
