สถาบันอาหารเดินเครื่องทำแผนพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไทย วางเป้าส่งออก 1 ล้านล้านในปี 2555 ชี้ปัญหาสินค้าไทยยังเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ไม่สอดคล้องกับกระแสรักสุขภาพของตลาดโลก จี้ผู้ประกอบการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแปรรูปสินค้าเกษตร การเพิ่มผลผลิต และสร้างบรรจุภัณฑ์
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยถึงโครงการการจัดทำแผนแม่บทอุตสาหกรรมอาหารปี 2551-2555 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันอาหาร และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทย รวมถึงยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสินค้าอาหารของไทยอย่างบูรณาการ
ทั้งนี้ทางสถาบันอาหารได้มุ่งเน้นการจัดทำแผนแม่บทในปี 2551-2555 ใน 4 เรื่องหลักคือ 1.การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมอาหารของไทย 2.พัฒนาและยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารของประเทศทั้งระบบ เน้นอาหารปลอดภัย และได้มาตรฐานตามหลักสากล 3.สร้างการรับรู้ และยกระดับภาพลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์อาหาร และ4.สร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมอาหาร โดยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกภายใน 5 ปี เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% และโรงงานผลิตอาหารของไทย จะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตในระดับสากลไม่ต่ำกว่า 50% ของจำนวนโรงงานทั้งหมด รวมถึงสินค้าอาหารของไทยจะต้องมีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนทั่วโลก ในการเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว เชื่อว่าในอีก 5 ปี ข้างหน้าอุตสาหกรรมอาหารของไทยจะมีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท ในปี 2555 นี้
“ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกอาหารอยู่ในลำดับที่ 7 ของโลก มีส่วนแบ่งในตลาดโลกร้อยละ 2.39 ส่วนอันดับ 1 คือยุโรป และสหรัฐฯ มีสัดส่วน 43.97% ของตลาดรวม ซึ่งสินค้าส่งออกหลักของไทยคือสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป ขณะที่พฤติกรรมการบริโภคเริ่มให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพ ความสดใหม่ ความสะดวก แต่การส่งออกไทยก็พบปัญหาและอุปสรรค โดยจะเน้นปริมาณมากกว่ามูลค่าเพิ่ม ขณะที่ทรัพยากรลดลงและต้องพบปัญหาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันผันผวน การกีดกันทางการค้าท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากคู่แข่งพัฒนาสินค้าได้ใกล้เคียง ดังนั้น ประเทศไทยต้องเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการแปรรูปสินค้าเกษตร การเพิ่มผลผลิตอย่างต่อเนื่อง” ผอ.สถาบันอาหารกล่าว
นายยุทธศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในกรณีที่ผ่านมามาร์เก็ตแชร์ในตลาดส่งออกของไทย ลดลงนั้นเกิดจากภาคการผลิตขาดความรู้ในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะนำมาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ประเทศคู่แข่งเริ่มเข้ามาแชร์ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตรแปรรูป ดังนั้นหากประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ จะทำให้ประเทศคู่แข่งแย่งชิงตลาดในส่วนนี้ไปได้
