รมช.คลัง ขอหารือ “หมอเลี้ยบ” เพิ่มทุนสถาบันการเงินของรัฐก่อนสงกรานต์ ยอมรับวงเงินเพิ่มคงไม่ได้ตามต้องการในครั้งเดียว ด้าน บสย. ตั้งเป้าวงเงินค้ำประกัน 7,500 ลบ. พร้อมดันชง 3 มาตรการ เสริมมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของรัฐบาล
นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายแก่ผู้บริหารบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ว่า จากรายงานที่ได้รับ ปัญหาของ บสย. คล้ายกับสถาบันการเงินของรัฐอื่น ๆ คือ ต้องการเพิ่มทุน เพื่อให้องค์กรสามารถขยายงานและเดินหน้าต่อไปได้ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังจากฟังปัญหาและข้อเสนอของทุกสถาบันการเงินของรัฐทั้งหมดแล้ว จะหาแนวทางสรุปเพื่อจัดงบประมาณปี 2552 สนับสนุนการเพิ่มทุนธนาคารต่างๆ ของรัฐ ซึ่งจะหารือกับ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อรายงานสถานการณ์ของสถาบันการเงินของรัฐทั้งหมด โดยจะหารือกันก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเพิ่มทุนให้กับสถาบันการเงินของรัฐคงไม่ได้เป็นการเพิ่มทุนให้ครั้งเดียวกว่า 20,000 ล้านบาท แต่จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมและสามารถตอบคำถามต่อรัฐสภาได้
ทั้งนี้ ในส่วน บสย. อยากให้มองว่า องค์กรนี้ไม่ได้เน้นสร้างผลกำไร แต่เน้นช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งยอมรับว่าผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมาขาดทุน แต่จริง ๆ แล้วยังมีกำไรขั้นต้น แต่เมื่อหักตั้งสำรองตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว ทำให้ขาดทุน ซึ่งจะพิจารณาว่า บสย.จะต้องเพิ่มทุนเท่าไร
ด้านนายทวีศักดิ์ ฟุ้งเกียรติเจริญ กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า ในปี 2550 บสย. ได้ค้ำประกันสินเชื่อ 2,298 โครงการ วงเงินรวม 6,414 ล้านบาท เป็นวงเงินอนุมัติต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ โดยมีการอนุมัติค้ำประกันสินเชื่อให้ธุรกิจ 3 อันดับแรก คือ ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกร้อยละ 57.19 ธุรกิจวัสดุก่อสร้างร้อยละ 5.66 และธุรกิจโลหะขั้นพื้นฐานร้อยละ 4.88 ซึ่งยอดอนุมัติค้ำประกันสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 รวมทั้งสิ้น 17,506 โครงการ วงเงิน 40,714.68 ล้านบาท มีภาระค้ำประกัน 8,999 โครงการ วงเงิน 22,266.08 ล้านบาท มีภาระค้ำประกันหนี้จัดชั้นด้อยคุณภาพ (NPGs) 3,309.97 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 14.87 ของภาระค้ำประกันรวม อย่างไรก็ดี บสย.สามารถติดตามเงินค่าประกันชดเชยคืนได้ 39.04 ล้านบาท
สำหรับในปี 2551 บสย. ตั้งเป้าค้ำประกันสินเชื่อวงเงิน 6,500 ล้านบาท แต่หากรวมโครงการตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเข้าไปด้วย จะเป็นวงเงินทั้งหมด 7,500 ล้านบาท โดยในส่วนโครงการตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมีวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ลูกค้า 3,000 ราย แบ่งเป็น 3 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 500 ล้านบาท มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเน้นที่กลุ่มผลิตสินค้าโอทอป 1,000 ล้านบาท และมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีระดับรากหญ้า 500 ล้านบาท ซึ่งจะมีการลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้ต่ำลง เพื่อจูงใจ ซึ่งจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าของรัฐบาล
นายทวีศักดิ์ ระบุด้วยว่า ปัจจุบัน บสย. มีเงินกองทุนอยู่ที่ 3,600 ล้านบาท ถือว่ายังเพียงพอที่จะค้ำประกันสินเชื่อให้ได้ตามเป้าหมาย โดยสามารถขยายการค้ำประกันได้ 7 เท่าของเงินกองทุน แต่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังศึกษาว่าจะปรับให้สามารถขยายค้ำประกันได้เป็น 10 เท่าของเงินกองทุน