หลังจากทีมนักวิทยาศาสตร์นำโดย ดร. เนลลี ซดาโนวา (Nelli Zhdanova) นักจุลชีววิทยาชาวยูเครน ได้สำรวจภาคสนามในบริเวณซากปรักหักพังของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบิล ประเทศยูเครน ในปี ค.ศ.1997 และพบเชื้อราดำปกคลุมเพดาน ผนัง และแม้กระทั่งพื้นผิวโลหะ ในสถานที่ที่เคยเกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
จากการสำรวจในครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้พบเชื้อรากว่า 30 ชนิด ที่มีสีเข้มเนื่องจากเซลล์เต็มไปด้วย “เมลานิน” โดยเมลานินที่พบในเชื้อรานั้น เป็นแบบเดียวกันกับที่พบในผิวหนังของมนุษย์ ที่ให้สีแก่ผิวหนังและปกป้องมนุษย์จากแสงแดด โดยเชื้อราสายพันธุ์ Cladosporium sphaerospermum เป็นสายพันธุ์ที่พบเมลานินมากที่สุด และยังเจริญเติบโตเข้าหารังสีราวกับว่าพวกมันถูกดึงดูดเข้าหารังสีโดยธรรมชาติ ไม่ต่างจากการเติบโตของพืช
ต่อมาในปี 2007 ดร.เอคาเทริน่า ดาดาโชวา (Ekaterina Dadachova) นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ค้นพบว่าเชื้อราดำ Cladosporium sphaerospermum สามารถดูดซับรังสีและแปลงเป็นพลังงานเคมี เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตได้ เช่นเดียวกับพืชที่ใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตกลูโคสและออกซิเจน ผ่านการสังเคราะห์ด้วยแสง และเชื้อราเจริญเติบโตเร็วกว่าประมาณ 10% เมื่อสัมผัสกับกัมมันตรังสี เมื่อเทียบกับเชื้อราที่ไม่ได้รับรังสี
ดร.ดาดาโชวา กล่าวว่า เป็นไปได้ว่าเชื้อราในบริเวณนี้ใช้เมลานินในการเปลี่ยนรังสีให้เป็นพลังงาน คล้ายกับการสังเคราะห์แสงในพืช แทนที่จะใช้แสงแดด แต่เชื้อราในบริเวณนี้ได้รับพลังงานจากรังสี โดยข้อมูลการศึกษานี้ได้ถูกเผยแพร่ใน วารสาร science journal Nature ปี 2007
จากการศึกษาดังกล่าว ทีมนักวิทยาศาสตร์จึงได้รวมมือกับองค์การนาซา (NASA) เพื่อส่งเชื้อราดำจากเชอร์โนบิลที่ได้ศึกษาไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เนื่องจากสภาพแวดล้อมของสถานีอวกาศนานาชาติจะทำให้เชื้อราได้รับรังสีมากกว่าบนโลก 40 - 80 เท่า ในการทดลองครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ให้เชื้อราสัมผัสกับรังสีคอสมิกในระดับสูงเป็นเวลา 26 วัน ซึ่งเข้มข้นกว่าสภาพแวดล้อมใดๆ บนโลก
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเชื้อราเจริญเติบโตได้เร็วกว่าในอวกาศ ชั้นบางๆ ของเชื้อราสามารถปิดกั้นรังสีคอสมิกได้บางส่วน และเซนเซอร์ที่วางอยู่ใต้ตัวอย่างบันทึกระดับรังสีที่ต่ำลง ซึ่งบ่งชี้ว่าเชื้อราสามารถทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันรังสีตามธรรมชาติได้ แม้จะอยู่ในชั้นบางๆ ก็ตาม เชื้อรามีความสามารถในการเจริญเติบโตและงอกใหม่ได้เอง และสามารถหนาขึ้นได้เมื่อระดับรังสีเพิ่มสูงขึ้น
"ราดำจากเชอร์โนบิลมีปริมาณเมลานินมากกว่าราที่เก็บได้จากนอกเขตอพยพ" .... คาสธุรี เวนคัต (Kasthuri Venkat) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของนาซาและหัวหน้าโครงการวิจัยอวกาศกล่าว
ในอวกาศรังสีเป็นหนึ่งในอันตรายที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับนักบินอวกาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภารกิจสำรวจดาวอังคาร ดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่มีสนามแม่เหล็กป้องกัน ทำให้นักบินอวกาศสัมผัสกับรังสีคอสมิกโดยตรง ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง และส่งผลกระทบต่อสมองได้ และเกราะป้องกันรังสีแบบดั้งเดิมมักใช้โลหะหนัก ทำให้มีราคาแพงในการผลิตและใช้งาน ดังนั้น เกราะป้องกันรังสีที่ทำจากเชื้อราจึงอาจเปิดโอกาสในการผลิตอุปกรณ์ป้องกันแบบใหม่ๆ ได้ในอนาคต
แม้ว่าผลในการทดลองจะออกมาด้วยดี แต่นักวิทยาศาสตร์ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการศึกษาอย่างครอบคลุมและรอบครอบมากขึ้นเกี่ยวกับเชื้อราประเภทนี้ เพื่อให้เชื้อราจากพื้นที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีกลายเป็นวัสดุป้องกันสำหรับนักบินอวกาศที่จะสามารถนำไปใช้ในภารกิจอวกาศได้
ข้อมูล - รูปอ้างอิง
- - - - - - - - - - - - - - - -
- futuroprossimo.it (Chernobyl, fungi "eat" radiation: towards medical applications)
- allthatsinteresting.com (Scientists Find Radiation-Eating Fungi At Chernobyl — And Now Seek To Harness Their Power For Space)


