2 นักวิจัยหญิง สวทช. เจ้าของผลงานการวิจัยพัฒนา “ต้นแบบวัคซีนโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” และ “การพัฒนาอนุภาคนาโนไขมันดัดแปลงพื้นผิวเพื่อนำส่งยารักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” คว้ารางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย ในโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” ประจำปี 2568 จัดโดยลอรีอัล กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำอุดมการณ์ สวทช. ที่มุ่งสร้างชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนางานวิจัยเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ตอบโจทย์ปัญหาสำคัญของชาติ และนำพาประเทศสู่ความยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)
ดร. สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคอุบัติใหม่ ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีองค์ความรู้ เทคโนโลยีพื้นฐาน หรือแม้กระทั่งเรื่องของการพัฒนาวัคซีนที่แทบเรียกได้ว่าเป็นศูนย์ ดังนั้นมาตรการที่ใช้ควบคุมการระบาดของโรค ASF ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังทำได้เพียงการสร้าง “ระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ หรือ Biosecurity” เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่เข้าหรือออกจากฟาร์ม แต่ด้วยต้นทุนการจัดการฟาร์มที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นเรื่องยากที่ฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางจะลงทุนเพื่อหวนกลับเข้าสู่วงจรธุรกิจได้
การวิจัยพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาโรคระบาด ASF ได้ และนั่นคือโจทย์เร่งด่วนให้ ดร. สพญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ และทีมวิจัยเดินหน้าพัฒนา “วัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF” หนึ่งในแผนงานการพัฒนา “วัคซีนสัตว์” ภายใต้กลยุทธ์ S&T Implementation for Sustainable Thailand ของ สวทช. ที่มุ่งขับเคลื่อนงานวิจัยแก้ปัญหาสำคัญของชาติ และตอบโจทย์มิติการพึ่งพาตนเอง
ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา กล่าวว่า ทีมวิจัยเร่งศึกษาสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับไวรัส ASF เทคโนโลยี จนถึงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบ โดยอาศัยฐานเทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ไบโอเทค สวทช. สั่งสมมายาวนาน จนกระทั่งพัฒนา “วัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์” จาก “ไวรัสสายพันธุ์ไทย” ได้สำเร็จ รวมทั้งมีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบด้าน
“ผลการศึกษาเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง โดยจะเริ่มทดสอบในฟาร์มขนาดเล็กภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดเพื่อเก็บข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีนต้นแบบในการป้องกันโรค ASF อย่างละเอียดก่อนที่จะขยายผลในวงกว้างต่อไป”
ทั้งนี้หากผลการทดสอบวัคซีน ASF ต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในฟาร์มจริงประสบความสำเร็จ จะเป็นความหวังในการพัฒนาวัคซีนต่อสู้กับโรคระบาดในสุกร และถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยฟื้นฟูฟาร์มสุกรขนาดเล็กและกลางให้หวนกลับมาทำอาชีพได้อีกครั้ง
ดร.มัตถกา คงขาว ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. ผู้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยสตรีไทย และทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า ปัจจุบันการรักษาโรคในกลุ่ม NCDs แบบเดิมยังมีข้อจำกัดมาก เช่น ยาดูดซึมได้ไม่ดี มีการกระจายไปทั่วร่างกายแบบไม่จำเพาะ ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ ตัวยาสำคัญเกิดการสลายตัวในทางเดินอาหาร ส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดีหรือไม่จำเพาะเจาะจง นอกจากนี้ตัวยาหรือสารออกฤทธิ์บางตัวที่ไวต่อสภาพแวดล้อม เช่น เพปไทด์หรือสารสมุนไพร มักเสื่อมสลายง่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ประสิทธิภาพการรักษาลดลง ที่สำคัญผู้ป่วยบางรายมีโรคร่วมหลายอย่าง ทำให้ต้องรับประทานยาจำนวนมาก
“การนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้พัฒนาระบบนำส่งยาสู่เป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจง คือหนทางควบคุมการปลดปล่อยยาได้ตรงจุด เพิ่มเสถียรภาพของยา และช่วยให้ยาออกฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ทีมวิจัยนาโนเทคทำงานอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปีในการพัฒนา “อนุภาคนาโนไขมันกักเก็บยาและสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API)” โดยดัดแปลงพื้นผิวของอนุภาคนาโนไขมันให้มีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงกับโรคนั้นๆ เช่น การเพิ่มอนุภาคที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ การเพิ่มตัวจับเฉพาะกับเซลล์เป้าหมาย การปรับประจุพื้นผิวให้เกาะกับเนื้อเยื่อดีขึ้นเพื่อให้ดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี”
ปัจจุบันอนุภาคนาโนไขมันที่ออกแบบมีความจำเพาะกับกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคทางระบบประสาทเสื่อม มะเร็ง การอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ไขมันช่องท้องและในเลือด รวมถึงความชราของผิวหนัง และอื่นๆ
“ยกตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องให้ยาคีโมซึ่งปัจจุบันยาคีโมมีกลไกการออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเซลล์ที่แบ่งตัวผิดปกติอย่างไม่จำเพาะเจาะจง ทำให้ยาคีโมไปทำลายเซลล์รากผมหรือเยื่อบุลำไส้ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงหรืออาเจียน ดังนั้นหากใช้อนุภาคนาโนไขมันนำส่งยาไปยังเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะเจาะจง จะช่วยลดผลข้างเคียงและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยก็ดีขึ้น หรือในกรณีผู้ป่วยสูงอายุกลุ่มโรค NCDs ที่มักมีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดัน ไตวายเรื้อรัง อาจต้องรับประทานยาปริมาณมาก ขณะที่ยาเหล่านั้นอาจออกฤทธิ์แค่ 10-20% เท่านั้น การใช้อนุภาคนาโนไขมันเข้าไปช่วยเพิ่มการดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหาร จะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สามารถลดปริมาณยาและลดการได้รับผลข้างเคียงจากยา ช่วยให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น”
ขณะนี้ เทคโนโลยีผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระดับ Pre-Clinic ในสัตว์ทดลองเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างต่อยอดการทดสอบทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพดีร่วมกับพันธมิตรและเครือข่าย ทั้งคณะเภสัชศาสตร์ แพทยศาสตร์ และโรงเรียนแพทย์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ หากได้ผลดีจะมีการทดสอบในอาสาสมัครที่มีแนวโน้มเป็นโรคในกลุ่ม NCDs และผู้ป่วยที่เป็นโรคในกลุ่ม NCDs ต่อไป โดยทีมวิจัยคาดว่าจะผลักดันเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้จริงในเชิงพาณิชย์ได้ภายในระยะเวลา


