คนทั่วไปในปัจจุบันไม่นิยมจดบันทึกความฝันว่า ได้ฝันเห็นเหตุการณ์อะไร หรือพบใคร ในสมัยก่อนผู้คนมีความเชื่อว่า ความฝัน คือ สิ่งที่เทพเจ้าส่งมาดลใจ เพราะทรงประสงค์จะบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้คนฝันได้รู้ตัวล่วงหน้า ดังนั้นผู้คนในสมัยก่อนจึงมีเรื่องเล่าที่เชื่อกันจนเป็นตำนานมากมาย เช่น
จักรพรรดิ Constantine ที่ 1 แห่งอาณาจักรโรมัน ขณะทรงกรีฑาทัพถึงสะพาน Milvian ที่ทอดข้ามแม่น้ำ Tiber ใกล้โรม ในอิตาลี เมื่อปี 312 เพื่อบุกโจมตีกองทัพของนายพล Maxentius เดิมพันในการสู้รบ คือ ผู้ชนะจะได้ปกครองกรุงโรม ในคืนก่อนการสู้รบจะเกิดขึ้น Constantine ทรงสุบินเห็นบนท้องฟ้ามีตัวอักษรปรากฏเป็นใจความว่า “In hoc signo vinces” ซึ่งแปลว่า “พระองค์จะทรงเป็นผู้พิชิต” ทันที่เห็นลางดี Constantine จึงทรงบัญชาให้ทหารในกองทัพของพระองค์ทุกคน เขียนลวดลายเป็นรูปไม้กางเขนลงบนโล่ เพื่อความเป็นมงคลและเป็นกำลังใจ
เมื่อการสู้รบยุติลง กองทัพของ Maxentius ได้ประสบความปราชัย โดยแม่ทัพได้จมน้ำตายขณะกองทัพล่าถอย Constantine จึงทรงออกพระราชกฎหมายให้ชาวโรมันมีเสรีภาพในการนับถือคริสต์ศาสนาได้ โดยไม่ต้องแอบหรือลอบนับถืออีกต่อไป ด้านกองทหารของ Constantine ที่ 1 ก็ได้รับฉายาใหม่ว่า กองทัพในพระผู้เป็นเจ้า และคริสต์ศาสนาเองก็เริ่มได้รับการยอมรับว่าเป็นศาสนาแห่งอาณาจักรโรมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
นี่คือตัวอย่างแสดงอิทธิพลของความฝันที่ได้เปลี่ยนโลก
เมื่อถึงยุคของประธานาธิบดี Abraham Lincoln (1809-1865) ชาวอเมริกันในสมัยนั้นก็มีความเชื่อว่า ใครที่ฝันเห็นงานศพของตนเอง ในเวลาอีกไม่ช้าไม่นานก็จะได้หลับอย่างไม่ตื่นเหมือนท่านประธานาธิบดี Lincoln ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐฯ ผู้ได้ประกาศเลิกทาส โดยท่านได้เล่าความฝันให้องครักษ์คนสนิทชื่อ Ward Hill Lamon (1828-1893) ฟังว่า ตนได้ฝันเห็นบรรดาข้าราชการในทำเนียบขาวต่างพากันร่ำไห้เสียงดัง จึงเอ่ยถามว่า ร้องไห้ด้วยสาเหตุใด และได้รับคำตอบว่า ประธานาธิบดีถูกลอบยิงเสียชีวิต Lincoln จึงเดินตามฝูงชนในฝันไปที่ East Room ในทำเนียบขาว และได้เห็นโลงศพของตนเองวางอยู่ในห้องนั้น
ครั้นเมื่อถึงวันที่ 14 เมษายน ปี 1865 Lincoln ก็ได้ถูกดาราละครชายชื่อ John Wilkes Booth (1838–1865) ลอบยิงข้างหลังจนเสียชีวิตที่โรงละคร Ford ในกรุง Washington D.C. ตรงตามที่ตนได้ฝันไว้ทุกประการ
ไม่เพียงแต่นักบริหารและแม่ทัพเท่านั้นความฝันที่ได้เป็นเรื่องจริง และฝันนั้นได้เปลี่ยนโลก วงการวิชาการก็มีนักวิชาการที่เชื่อไม่น้อยเช่นกันว่า ความฝันสามารถช่วยแก้ปัญหาและหาทางออกให้คนที่ฝันได้ จนทำให้มีสำนวนว่า “sleep on it” ซึ่งเป็นวลีที่มีความหมายว่า นอนพักผ่อนให้สมองคลายเครียดก่อน คือ ปล่อยให้จิตใต้สำนึกได้ทำงาน และเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว จึงจะตัดสินใจ เพราะการเร่งรีบคิด อาจจะทำให้ตนตัดสินใจผิดได้
Sigmund Freud (1856-1939) นักจิตวิทยาชาวออสเตรียก็เชื่อเช่นกันว่า การคิดสร้างสรรค์และการเรียนรู้วิทยาการใหม่ ๆ สามารถบังเกิดในคนได้จากการฝัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึกของคนที่ต้องการจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และความรู้นี้สามารถบังเกิดได้เวลาร่างกายพักผ่อน คือ ในช่วงมีอาการเคลื่อนไหวลูกตาอย่างรวดเร็ว คือ มี REM (Rapid Eye Movement)
Otto Loewi (เลอวี) (1873–1961) เป็นนักเภสัชวิทยาชาวเยอรมันผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาและการแพทย์ร่วมกับ Henry Dale (1875–1968) นักชีวเคมีชาวอังกฤษ จากผลงานการพบกลไกที่เซลล์ประสาทในร่างกายคนเวลาต้องการจะสื่อสารกับกล้ามเนื้อ และอวัยวะต่าง ๆ นอกจากจะปล่อยสัญญาณไฟฟ้าแล้ว ยังหลั่งสารเคมีออกมาด้วย และสารเคมีที่ Loewi พบนี้ ในเวลาต่อมา Dale ได้พิสูจน์ว่ามัน คือ สาร acetylcholine ที่ทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะมีปฏิกิริยาตอบสนอง
องค์ความรู้ที่คนทั้งสองพบได้ทำให้เราเข้าใจการทำงานของระบบประสาทและสมอง ซึ่งมีผลต่อการพัฒนายารักษาโรค Parkinson, Alzheimer และโรคซึมเศร้า ฯลฯ
ในการพบองค์ความรู้ใหม่นี้ Loewi เล่าว่า ก่อนปี 1921 นักชีววิทยาและแพทย์ทุกคนคิดว่าระบบประสาทของคนใช้สัญญาณไฟฟ้าเท่านั้นในการสื่อสารถึงกัน แต่ Loewi กลับพบว่า ระบบประสาทจะหลั่งสารเคมีออกมาด้วย
ในคืนวันเสาร์ก่อนจะถึงเทศกาล Easter ของปี 1921 Loewi ได้ตื่นขึ้นมาในเวลาดึก จากความฝันเรื่องการค้นหาสาเหตุและกลไกที่จะทำให้หัวใจคนเราเต้นช้า-เร็ว และก็ได้เห็นภาพของเครื่องมือ ตลอดจนถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้ทั้งหมด แล้วตื่นขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลาตีสาม จึงรีบจดรายละเอียดต่าง ๆ ลงในเศษกระดาษอย่างสั้น ๆ แล้วกลับไปนอนต่อ
ครั้นเมื่อตื่นในตอนเช้า ก็พบว่าตนอ่านบันทึกที่ตนเขียนอย่างรีบ ๆ ไม่ออก จึงมุ่งมั่นจะฝันเรื่องเดียวกันนี้อีกในคืนต่อมา คราวนี้ก็ได้ฝันซ้ำอีกคำรบหนึ่ง และทันทีที่ฝันจบ Loewi ก็ตื่น แล้วลุกขึ้นไปเข้าห้องปฏิบัติการในทันที เพื่อทำการทดลองตามที่ตนได้ฝันเห็น โดยใช้หัวใจกบสองหัวใจเป็นตัวทดลอง
ในหัวใจดวงแรกนั้นมีเส้นประสาท Vagus ติดอยู่ด้วย แต่หัวใจดวงที่สองไม่มีเส้นประสาท และหัวใจทั้งดวงจมอยู่ในสารละลาย Ringer's solution ที่มีเกลือ NaCl, KCI และ CaCl2
ในการทดลองจริง ๆ Loewi ได้พบว่า เมื่อเขากระตุ้นเส้นประสาท Vagus ด้วยสัญญาณไฟฟ้า 2-3 นาที หัวใจกบดวงแรกจะเต้นช้าลง จากนั้นก็นำน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจกบที่ถูกกระตุ้นนี้ไปใส่ที่หัวใจกบดวงที่สอง ผลปรากฏว่า หัวใจกบดวงที่สองก็เต้นช้าลงด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีเส้นประสาท Vagus นำสัญญาณไฟฟ้ามากระตุ้นเลย
การทดลองนี้จึงแสดงว่า หัวใจกบดวงที่สองได้รับสารเคมีที่หัวใจกบดวงแรกหลั่งออกมา การทดลองของ Loewi จึงแสดงให้เห็นว่า ระบบประสาทของกบทำงานโดยได้รับสารเคมีควบคู่ไปกับสัญญาณไฟฟ้า ต่อจากนั้น Dale ก็ได้วิเคราะห์สารเคมีที่หัวใจกบดวงแรกหลั่งออกมา และพบว่าเป็นสารเคมีชื่อ acetylcholine นอกจากสารนี้แล้ว ในเวลาต่อมา นักวิทยาศาสตร์ยังได้พบว่าเซลล์ประสาทหลั่งสาร dopamine, serotonin และ norepinephrine ออกมาด้วย
dopamine เป็นสารที่สมองหลั่งเวลาคนมีความสุขจากความสำเร็จ การมีมนุษยสัมพันธ์ดี หรือเวลากิน
ระดับ serotonin ที่มีในร่างกายเกี่ยวข้องกับการมีอารมณ์เสถียร ควบคุมการหลับ-ตื่น และความหิว
ส่วน norepinephrine เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้คนมีสติสัมปชัญญะ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้า และการจดจำข้อมูล ระดับฮอร์โมนนี้จะเพิ่มเวลาเครียด
Loewi กับ Dale จึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวิทยาการสาขา neuropharmacology ที่เกี่ยวข้องกับการที่เซลล์ประสาทใช้สารเคมีในการสื่อสารถึงกัน
การพบโครงสร้างทางเคมีของเบนซิน (benzene) ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ก็นับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่งในประวัติเคมี และการค้นพบนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ Friedrich August Kekulé (1829-1896) ได้งีบหลับ และฝันเห็นงูกินหางตัวมันเอง
โลกเคมีในเวลานั้น มีปริศนาหนึ่งที่ไม่มีใครรู้คำตอบนั่นคือ โครงสร้างโมเลกุลของเบนซินเป็นเช่นไร แม้แต่ Josef Loschmidt (1821-1895) และ Archibald Couper (1831-1892) ซึ่งเป็นนักเคมีระดับสุดยอดก็ไม่รู้
เบนซิน เป็นสารประกอบที่กลั่นได้จากน้ำมันดินถ่านหิน (coal tar) และเป็นสารประกอบ hydrocarbon ที่มีสูตร C6H6 จึงประกอบด้วยอะตอม carbon กับอะตอม hydrogen ชนิดละ 6 อะตอม แต่ไม่มีใครรู้ว่า อะตอมทั้ง 12 ตัวนี้ ยึดโยงกันอย่างไร
ในอดีตที่ผ่านมา นักเคมีรู้จักสารประกอบ alkane ที่มีการจับคู่ระหว่างอะตอม carbon ว่า เป็นแขนพันธะเดี่ยว เช่น สารประกอบ ethane ซึ่งมีสูตรเป็น C2H6 และมีโครงสร้างโมเลกุล เป็นดังรูป
กับสารประกอบ alkene ที่มีการจับคู่ระหว่างอะตอม carbon เป็นแขนพันธะคู่ เช่น ethylene C2H4
และสารประกอบ alkyne ซึ่งอะตอม carbon มีการจับคู่กันแบบมีแขนพันธะสาม ได้แก่ acetylene C2H2
แม้นักเคมีหลายต่อหลายคน จะพยายามครุ่นคิดหาโครงสร้างของเบนซิน C6H6 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ลุถึงปี 1865 Friedrich August Kekulé (1829–1896) นักเคมีชาวเยอรมัน เป็นบุคคลหนึ่งที่สนใจปัญหานี้มาก วันหนึ่งขณะเขาง่วงหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน ได้ฝันเห็นโครงสร้างของเบนซินว่า อะตอม carbon ทั้ง 6 ตัว มีการจับคู่กันเป็นแขนพันธะเดี่ยวและแขนพันธะคู่สลับกัน โดยอะตอม carbon แต่ละอะตอม มีอะตอม hydrogen 1 ตัวยึดติดอยู่ด้วย ดังรูป
ทันทีที่ Kekulé พบโครงสร้างนี้ เขาได้เขียนรายงานสั้น ๆ ถึงบรรณาธิการของวารสาร Bulletin de la Société chimique de Paris แห่งฝรั่งเศส กับบรรรณาธิการวารสาร Annalen der Chemie und Pharmacie แห่งเยอรมนี เพื่อให้รู้ว่าโครงสร้างโมเลกุลของเบนซินมีลักษณะเป็นวงแหวน ในเวลาต่อมานักกลศาสตร์ควอนตัม ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า โครงสร้างลักษณะนี้ ทำให้โมเลกุลเบนซินมีเสถียรภาพจริง
การค้นพบของ Kekulé ว่า คาร์บอนอะตอมสามารถทำให้เกิดแขนพันธะ 4 ได้เปิดโลกเคมีอินทรีย์ยุคใหม่ โดยเบนซินได้ทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นภายในประเทศมากมาย เช่น อุตสาหกรรมยาย้อมสีผ้า เทคโนโลยีการผลิตยา aspirin เทคนิคการทำดินระเบิด TNT สร้างวัสดุพลาสติกและพอลิเมอร์ (nylon, polystyrene) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ได้ทำให้การอุตสาหกรรมของเยอรมนีก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 1890 ซึ่งเป็นวาระครบ 25 ปี ที่ Kekulé พบโครงสร้างของเบนซิน สมาคมเคมีของเยอรมนี ได้จัดงานเฉลิมฉลองวาระนี้ และ Kekulé ก็ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยในที่ประชุมว่า “ขอให้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนรู้จักฝัน เพื่อจะได้พบความจริง และเมื่อได้เห็นฝันที่เป็นจริงแล้ว ก็ต้องทดสอบฝันนั้น โดยใช้สมองและจิตใจที่เปิดกว้าง”
Kekulé เสียชีวิตเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 1896 ด้วยโรคหัวใจวาย ที่กรุง Bonn ในเยอรมนี สิริอายุรวม 66 ปี โดยได้ทิ้งโครงสร้างของโมเลกุลเบนซินเป็นมรดกทางสติปัญญาที่นับว่า ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญมากชิ้นหนึ่งในประวัติวิทยาศาสตร์ของโลก
นักฟิสิกส์ก็ฝันเป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์สาขาอื่นเช่นกัน แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องฝันแล้วละก็ไม่มีใครดังดังเกิน Wolfgang Pauli (1900–1958) ซึ่งได้เล่าความฝันให้ Carl Gustav Jung (1875–1961) นักจิตวิเคราะห์ชาวสวิส ผู้ได้วินิจฉัยความฝันของ Pauli อย่างติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 25 ปี
Wolfgang Pauli คือ ผู้ที่พบหลักการกีดกัน (Exclusion Principle) เมื่อ 100 ปีก่อน คือ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1925 โดย Pauli ได้นำเสนอผลงานนี้ในวารสาร Zeitschrift für Physik ฉบับที่ 31 หน้า 765 ภายใต้ชื่อเรื่องว่า “On the Connection between the Completion of Electron Groups in an Atom with the Complex Structure of Spectra” ซึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนของอิเล็กตรอนในอะตอมกับโครงสร้างของสเปกตรัมที่ซับซ้อน
ความคิดบุกเบิกของ Pauli ในงานวิจัยนี้ ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์กายภาพสามารถจัดเรียงอะตอมของธาตุต่าง ๆ ลงในตารางธาตุได้อย่างมีหลักการและเหตุผล อีกทั้งสามารถอธิบายการจับคู่แบบแขนพันธะ covalent ของอะตอมได้ด้วย ผลงานเหล่านี้ทำให้ Pauli ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ในปี 1945
ในความเป็นจริงนักฟิสิกส์ได้เริ่มรู้จัก Pauli ตั้งแต่ปี 1921 เมื่อ Pauli นำเสนอบทความปริทรรศน์ ที่มีจำนวน 257 หน้า และเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Einstein บทความนี้มีเนื้อหาที่ละเอียด การวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง และมีเหตุผล ทั้งทางฟิสิกส์และทางคณิตศาสตร์ จน Einstein ถึงกับตกตะลึง เมื่อได้อ่านและรู้ว่าคนที่เขียนบทความนี้มีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้นเอง โดย Pauli ได้ส่งบทความไปลงใน “Encyclopaedia of Mathematical Sciences”
อีก 3 ปีต่อมา Pauli (ปี 1925) ก็ได้นำเสนอหลักการกีดกันที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ปี 1945 สาเหตุที่ได้รับรางวัลโนเบลช้า ถึง 20 ปี เพราะกรรมการรางวัลโนเบลท่านหนึ่ง คือ Carl Vilhelm Oséen (1879-1944) มีความเห็นว่า หลักการนี้มิได้มีความสำคัญถึงระดับที่สมควรจะได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ แม้ M. Planck, M. von Laue, E. Schrödinger (เจ้าของรางวัลโนเบลฟิสิกส์ ปี 1918, ปี 1914 และปี 1933 ตามลำดับ) จะเห็นว่า Pauli สมควรจะได้รับรางวัลโนเบลก็ตาม
จนกระทั่ง Oséen เสียชีวิต Einstein จึงได้จัดการเสนอชื่อของ Pauli ทำให้ Pauli ได้รับรางวัลในปี 1945 นั่นเอง
ผลงานสำคัญชิ้นอื่น ๆ ของ Pauli ได้แก่การเสนอความคิดว่า ในเอกภพมีอนุภาค neutrino ที่มีมวลประมาณ 10^(-6) เท่าของอิเล็กตรอน อีกทั้งไม่มีประจุไฟฟ้า แต่มีพลังงานที่ช่วยทำให้กฎทรงพลังงานของฟิสิกส์ยังใช้ได้ในระบบอะตอม เพราะมีการพบว่าเวลานิวเคลียสของยูเรเนียมสลายตัวให้ thorium กับอนุภาค alpha นั้น ผลปรากฏว่า ได้มีพลังงานส่วนหนึ่งสูญหายไป เหตุการณ์นี้ทำให้วงการฟิสิกส์ถูกกระทบกระเทือนมาก เพราะหลายคนคิดว่า กฎทรงพลังงานใช้ไม่ได้ในอะตอม แต่ Pauli ก็ได้เสนอทางออกว่า กฎทรงพลังงานนี้ยังใช้ได้ต่อไป เพราะอนุภาค neutrino ได้นำพลังงานส่วนหนึ่งไป
แต่ก็ยังไม่มีใครพบอนุภาคนี้ในห้องปฏิบัติการ จนกระทั่ง Clyde Cowan (1919-1974) กับ Frederick Reines (1918-1998) ได้พบ neutrino เมื่อปี 1956 และ Reines ได้รับรางวัลโนเบลฟิสิกส์ในปี 1995 ร่วมกับ Martin L. Perl (1927–2014) ได้รับรางวัลจากการพบอนุภาค tau lepton
ผลงานเหล่านี้ทำให้ Pauli เป็นซูเปอร์สตาร์ของวงการฟิสิกส์ที่มีนักวิจัยดัง ๆ เช่น Felix Bloch (โนเบลฟิสิกส์ปี 1952) Max Delbrück (โนเบลแพทย์ ปี 1969) และ Lev Landau (โนเบลฟิสิกส์ปี 1962) มาร่วมทำงานวิจัยกับ Pauli ด้วย
ในขณะที่ชีวิตทำงานกำลังรุ่งโรจน์ ชีวิตส่วนตัวของ Pauli กลับล้มพังพินาศอย่างไม่เป็นท่า บิดาซึ่งเป็นคนเจ้าชู้ได้ทิ้งมารดาของ Pauli ไปแต่งงานใหม่กับเด็กสาวอายุรุ่นลูก มารดาจึงสิ้นหวัง และได้ฆ่าตัวตายในปี 1929 จากนั้น Pauli ได้เริ่มดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด และออกเที่ยวกลางคืนบ่อย จึงได้แต่งงานกับนักเต้นรำในไนต์คลับ โดยมีชีวิตคู่ที่ไม่มีความสุขเลย เพราะภรรยาของ Pauli ได้ทิ้งเขาไปแต่งงานกับชายคนอื่น หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันนานหนึ่งปี
Pauli ได้ล้มป่วยด้วยโรคซึมเศร้า จนต้องเข้ารับการบำบัดโดยจิตแพทย์ชาวสวิส ชื่อ Carl Gustav Jung ขณะเข้ารับการรักษา ความสัมพันธ์ระหว่าง Jung กับ Pauli ไม่ได้ราบรื่น เพราะ Jung สนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาว จานผี (UFO) โทรจิต และโหราศาสตร์ที่ Pauli ไม่ชอบ ด้าน Pauli ก็ได้เล่าความฝันของตนให้ Jung ฟัง นับพันเรื่อง ตลอดเวลา 25 ปีที่มีการรักษาอาการซึมเศร้าของตน หลังจากนั้น Jung ก็ได้นำจดหมายทั้งหมดของ Pauli ที่เขียนถึงตนไปตีพิมพ์ โดยบอกแต่เพียงว่าเป็นอาการทางจิตใจของนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง
เช่น Pauli สนใจเรื่องความลึกลับของตัวเลข 137 ซึ่งในทางฟิสิกส์ ค่า 1/137 คือ ค่าของค่าคงตัวโครงสร้างละเอียด (fine structure constant) ที่ใช้อักษรย่อว่า
และค่าคงตัว ไม่มีหน่วย ซึ่ง Pauli คิดว่าเป็นตัวเลขลึกลับที่สามารถบอกความสัมพันธ์ระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ (c) ทฤษฎีควอนตัม (h) และทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า (e) และค่า α นี้ เป็นค่าที่กำหนดความรุนแรงของอันตรกิริยาระหว่างประจุไฟฟ้ากับแสง จึงสามารถควบคุมขนาดของอะตอมได้ ฯลฯ
ความสนใจของ Pauli ที่มีต่อฟิสิกส์และความลึกลับต่าง ๆ เป็นเรื่องที่นักจิตวิทยา เช่น Jung สนใจมากว่า ความคิดสร้างสรรค์และความฝันต่าง ๆ ของนักฟิสิกส์ระดับสุดยอด เช่น Pauli เกิดขึ้นได้อย่างไร
อ่านเพิ่มเติมจาก “Atom and Archetype: The Pauli/Jung Letters, 1932-1958” ใน Princeton University Press เมื่อ July 21, 2014
ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน : ประวัติการทำงาน - ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์
ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน,ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" ได้ทุกวันศุกร์