“มงคล” ประกาศพร้อมรับใช้แผ่นดิน รักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ชวน 200 ส.ว. ก้าวเดินไปพร้อมกัน เป็น “สภาประนอมอำนาจ” ประสานเนื้อเดียวกัน ช่วยดับวิกฤตชาติโดยเร็วที่สุด
วันนี้ ในการประชุมวุฒิสภา วาระการเลือกประธานวุฒิสภา นายมงคล สุระสัจจะ ส.ว.ลุกขึ้นกล่าวแสดงวิสัยทัศน์เป็นคนสุดท้ายว่า ขอบคุณสมาชิกที่เสนอชื่อให้พิจารณาเลือกประธานวุฒิสภา นับตั้งแต่ตนบรรจุเป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทย ตนสำนึกว่าแผ่นดินนี้ได้ให้โอกาสตนมากมายเหลือเกิน ตนตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะอุทิศชีวิต ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ตอบแทนคุณแผ่นดินรับใช้ประชาชน รักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นปณิธานที่แน่วแน่ยึดมั่นมาตลอดตั้งแต่รับราชการจนถึงปัจจุบัน และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะมารับเลือกเป็น ส.ว.คือ ความหวังที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ของชีวิตทำงานเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน เพื่อรับใช้ประชาชน แก้ไขปัญหาคนในชาติ ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
นายมงคล กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่วันนี้ตนจะตั้งใจทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามที่ตนหวังไว้ และเชื่อว่า ทุกท่านก็มีความตั้งใจไม่ต่างไปจากตน การปฏิบัติหน้าที่ด้านนิติบัญญัติในฐานะ ส.ว. ที่ต้องการให้ประเทศไทย และคุณภาพชีวิตของคนไทย ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า และดีขึ้นในทุกๆมิติ ซึ่งการทำงานของวุฒิโดยมีประชาชนเป็นเป้าหมายอย่างตรงไปตรงมา จะนำไปสู่สิ่งนั้นได้ ตนอยากเห็นสังคมไทย คนไทยเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเห็นต่างกันได้ แต่เราต้องไม่สร้างความแตกแยก เราจะเริ่มต้นจากความเป็นหนึ่งเดียวของวุฒิสภาแห่งนี้ วุฒิสภาเป็นองค์กรด้านนิติบัญญัติเป็นองค์กรสำคัญ ที่จะพาสังคมไทย เดินหน้าไปได้ด้วยสันติวิธี รวมถึงมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่เหมาะสม สอดคล้องกับประเทศไทย และคนไทย อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นภารกิจของเราทุกคนในฐานะสมาชิกวุฒิสภา วิกฤติที่เกิดขึ้น ทั้งในทางการเมืองในทางเศรษฐกิจที่ผ่านมา ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย แต่ประเทศอื่นก็เป็น เพราะฉะนั้น เราจะไปหวังให้ใครมาช่วยเราไม่ได้ เราคนไทยต้องช่วยกัน
นายมงคล กล่าวอีกว่า ชีวิตตนมาจากก้อนดิน ก้อนทราย เป็นเด็กวัด เรียนอาชีวะ ตนเข้าใจความยากจนข้นแค้นไม่มีเส้นมีสาย เติบโตมาในระบบราชการ ด้วยการทำงานอย่างหนัก เต็มความรู้ความสามารถ ตนมีประสบการณ์ ในการประสานงานกับประชาชนในชนบทมาโดยตลอดชีวิต เมื่อเกษียณอายุราชการ ก็ยังไปทำไร่อยู่ในชนบท เพราะฉะนั้น ตนทราบและเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนสมาชิก ตนเข้าใจปัญหา ตนมีประสบการณ์อันยาวนาน และมีเพื่อนอยู่ทุกหมู่เหล่า
“ผมเชื่อว่า สามารถที่จะเข้าใจ และทำงานร่วมกับทุกคนได้ วุฒิสภาในปัจจุบันใครจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ผมว่าเป็นครั้งแรกที่รัฐธรรมนูญปี 60 ปฏิรูปใหญ่ในเรื่องนี้ ให้สภาเป็นของคนทุกหมู่เหล่าแบ่งเป็น 20 อาชีพ ถือเป็นครั้งแรกที่วุฒิสภาได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาทำหน้าที่แทนกลุ่มอาชีพของตัวเอง ประชาชนได้เข้ามาทำหน้าที่เพื่อประชาชน ขอให้ทุกท่าน ได้รักษาไว้ หากผมได้รับเลือกเป็นประธานวุฒิสภา ผมจะปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามข้อบังคับ กฎหมายต่างๆ ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติทางด้านนิติบัญญัติอย่างเต็มสติปัญญา เต็มความรู้ความสามารถ เพื่อที่จะรับใช้ และอำนวยความสะดวก ให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกทุกท่าน ผมพร้อมที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ประสานงานกับทุกท่านให้เป็นเนื้อเดียวกันให้เร็วที่สุด และขอเชิญทุกคนมาช่วยงานกัน และก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้วุฒิสภาแห่งนี้บรรลุผลความเป็นสภาของสามัญชนจากกลุ่มวิชาชีพดังๆ เป็นสภาที่ประนอมอำนาจ เพื่อดับวิกฤตของสังคมไทย” นายมงคล กล่าว
ทั้งนี้ ในการประชุมวุฒิสภา (ส.ว.) นัดแรก วันนี้ (23 ก.ค.) โดยมีวาระสำคัญคือ เลือกบุคคลดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานวุฒิสภา โดยมี พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.อาวุโสสูงสุด เป็นประธานดำเนินการประชุมชั่วคราว โดยมีการเสนอชื่อบุคคลเข้าชิงตำแหน่ง 3 คน ประกอบด้วย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ว. นางสาวนันทนา นันทวโรภาส ส.ว.และ นายมงคล สุระสัจะ
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้บุคคลทั้ง 3 แสดงวิสัยทัศน์ก่อนให้สมาชิกลงคะแนน นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า การเปลี่ยนมาเลือก ส.ว.วิชาชีพทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เช่น ไม่ตรงปก มีการครอบงำจากกลุ่มสีต่างๆ ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีกับที่สมาชิกทั้ง 200 ท่าน ตนจึงมุ่งมั่นอาสามาดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาเพื่อแก้ไขภาพลักษณ์และสิ่งที่ปรากฏในด้านลบแก่วุฒิสภาของเรา เพราะถือว่าเป็นสภาสูงอันทรงเกียรติที่ประชาชนชนคาดหวังในการทำงาน ซึ่งเหมือนเสื้อของเราถ้ากลัดกระดุมเม็ดแรกผิดมันก็จะผิดไปทั้งหมด ดังนั้นการกลัดกระดุมเม็ดแรกของวุฒิสภาคือการต้องเป็นอิสระเป็นกลางไม่ถูกครอบงำ ไม่ว่าจากพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
”หลายคนวิจารณ์ที่มาของเราว่ามาจากรูปแบบต่างๆ ผมคิดว่าที่มาห้ามยาก เพราะเรามากันแล้ว แต่ที่ไปเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ เพราะ 5 ปีต่อจากนี้ เราจะไปอย่างไร 5 ปีต่อจากนี้ ถ้าเราเลือกที่จะเป็นกลาง เป็นอิสระเราก็ได้รับความชื่นชมจากประชาชนอย่างแน่นอน แต่ถ้าเราเลือกอีกด้านหนึ่งก็จะถูกตราหน้าว่า สภาใบสั่ง สภารีโมท สภาล็อก สภาบล็อกโหวต สุดแต่จะว่าไป “
นพ.เปรมศักดิ์กล่าวว่า กลไกสำคัญของวุฒิสภาอันดับแรก คือ การกลั่นกรองกฎหมายจากสภาผู้แทนราษฎร สิ่งเหล่านี้คือ 1. การตรวจสอบควบคุมระดับการบริหารโดยใช้กฎหมาย ดังนั้น กฎหมายที่มาจากสภาจะต้องถูกกลั่นกรองโดยไม่มีการชี้นำไม่ว่าจากพรรคการเมืองไหนทั้งสิ้น 2. การเห็นชอบองค์กรอิสระอย่าให้มีใบสั่งว่ามาจากบ้านนั้นบ้านนี้ จากผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นคนนี้ ถ้าอย่างนั้นการกำหนดองค์กรอิสระการเห็นชอบจะไร้ความหมาย และจะเกิดปัญหาต่อการยอมรับของประชาชน เหมือนเช่นที่เป็นมาแล้วในอดีต 3. การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน การตั้งกระทู้ กฎหมายสำคัญของวุฒิสภาในการควบคุมการบริหารของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ต้องมาตอบกระทู้สดด้วยตนเอง ไม่ใช่นายกฯมอบหมายรัฐมนตรีว่าการ และรัฐมนตรีว่าการมอบหมายรัฐมนตรีช่วย อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องยืนยันศักดิ์ศรีของวุฒิสภาในการตรวจสอบไม่ว่ากระทู้ถาม ญัตติด่วนหรือในระดับของกรรมาธิการต่างๆ จะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อดำรงไว้ซึ่งการควบคุมรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ
“แต่ 3 ประการนี้ ประธานสภาจะทำได้ต้องสุขภาพที่ดีหลายครั้งถ้าเคยฟังการถ่ายทอดสดการประชุมสภา อยู่ดีๆ เกิดประธานเกิดปวดปัสสาวะ และมอบรองประธานให้มาทำหน้าที่ไม่ทัน ท่านประธานจำเป็นต้องลุกไปห้องน้ำเป็นอันว่าต้องปิดประชุมกระทัน เพราะการปวดปัสสาวะนั้นห้ามไม่ได้ แต่รองประธาน ขึ้นมารับงานไม่ทัน ก็ต้องปิดประชุมไป ซึ่งจะเปิดประชุมใหม่ก็ต้องนัดอีกสามวันดังนั้นสุขภาพต้องดี คนเก่งแต่กาลเวลาผ่านไปแพ้สังขาร ที่เห็นๆอย่างโจ ไบรเดน โยนผ้าเพราะไปไม่รอดสังขารไม่ให้ ดังนั้นตอนจึงย้ำเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังอย่ามองเป็นเรื่องเล็ก ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืน ผมอายุ 59 บอกอีก 5 ปี คือ 64 พร้อมจะทำหน้าที่เป็นประธานโดยมีสุขภาพที่ดี จึงขอให้สมาชิกได้พิจารณา และอย่าพิจารณาเพราะเขาบอกว่ามีเสียงล่วงหน้ามาแล้ว 143 เสียง ถ้าเริ่มต้นแบบนี้สภาของเราจะไม่พ้นคำกล่าวหา จึงขอฝากสมาชิกช่วยลงมติในการเลือกประธานอย่าได้มองว่าคนสมัครคนอื่นเป็นเพียงไม้ประดับ เพราะครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่ประชาชนมองอยู่ทั่วประเทศและคาดหวังจากประธานของเรา” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
ด้าน น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ส.ว. แสดงวิสัยทัศน์ว่า ที่ผ่านมา วุฒิสภาดูจะเป็นสภาที่ห่างเหินจากการรับรู้ของประชาชน และวุฒิสภาไม่ยืดโยงกับประชาชน และไม่ใช่สถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชน ภาพลักษณ์เหล่านี้คือเป็นภาพลักษณ์เป็นภาพที่บั่นทอนศรัทธา มหาชน และนี่คือ โจทย์สำคัญว่าเราจะมาฟื้นฟูภาพลักษณ์ของ ส.ว. ยุคใหม่ ประชาชนทั้งประเทศจะรู้สึกเป็นเจ้าของ ส.ว. ก็ต่อเมื่อเราทำให้วุฒิสภาเป็นของประชาชน เราจะทำให้สภาของประชาชนเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ที่มาของ ส.ว.ชุดนี้ จะไม่อาจกล่าวได้ว่า มาจากประชาชน แต่เรายึดโยงกับประชาชน เนื่องจากผู้จ่ายภาษีเป็นเงินเดือนของเรา ด้วยแนวทาง 5 ส. ประกอบด้วย สัมพันธ์ สร้างสรรค์ สื่อสาร สมดุล สากล
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า 1. ส.สัมพันธ์ คือ เราจะสร้างความรู้สึกผูกพัน เป็นเจ้าของโดยเปิดพื้นที่สภาให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงได้ประชาชนสามารถเดินเข้ามาฟังการประชุมสภาได้ทุกวันที่มีการประชุมพื้นที่สวนเปิดให้ประชาชนเข้ามาออกกำลังกายสูดอากาศบริสุทธิ์ห้องโถงใหญ่เปิดให้สถาบันการศึกษาองค์กรจัดนิทรรศการแสดงนวัตกรรมได้ เราจะจัดตั้งหน่วยรับเรื่องร้องทุกข์ ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกจากเจ้าหน้าที่รัฐและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากหน่วยงานใดๆ ทุกข้อร้องเรียนจะถูกนำไปสู่การแก้ไข เราจะเป็นวุฒิสภาเชิงรุก เข้าหาประชาชนโดยจัดรายการ ส.ว. ฟังเสียงประชาชนจัดเวทีสังสรรค์ เสวนากับประชาชนในทุกพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ 2. ส.สื่อสาร วุฒิสภายุคใหม่ จะใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการยึดโยงกับประชาชนโดยเราจะสื่อสารการทำงานของ ส.ว. ผ่านการถ่ายทอดสดการประชุมสภาผลักดันให้มีการถ่ายทอดกรรมาธิการทุกคณะ จะแถลงผลการทำงานทุกด้าน ผ่านสื่อมวลชนและจะตอบทุกคำถามกับสื่อมวลชนโดยยึดหลัก ส.ว. รู้อะไรประชาชนรู้อย่างนั้น
น.ส.นันทนา กล่าวอีกว่า 3. ส.สร้างสรรค์ วุฒิสภายุคใหม่จะทำงานอย่างสร้างสรรค์โปร่งใสตรวจสอบได้หรือที่เรียกว่ามี Accountability โดยใช้เวทีของสภาถกเถียงประเด็นที่เป็นปัญหาของสังคมเริ่มจากการบรรจุระเบียบวาระที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเข้าสู่ที่ประชุมควบคุมการอภิปรายอย่างเป็นกลางให้อยู่ในประเด็นสะท้อนปัญหาและได้ข้อยุติสภาแห่งนี้ต้องเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมือง ที่มีอำนาจในการเรียกเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตั้งแต่หัวหน้ารัฐบาล ตอบกระทู้ถามในการแก้ปัญหาสำคัญๆโดยให้ความเคารพต่อสถาบันและไม่บ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงชิ้นที่ผ่านมา 4. ส.สมดุล วุฒิสภายุคใหม่ต้องสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในสังคม เราจะเปิดกว้างให้กับทุกศาสนาเปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลายทางเพศเปิดรับทุกเชื้อชาติโดยไม่กีดกันแบ่งแยกเราจะต้อนรับคนทุกวัยสภาคือพื้นที่แห่งความเท่าเทียมกันเราเคารพสิทธิมนุษยชนเราจะออกรับบุคลากรเข้ามาทำงานและทุกคนที่เข้ามามีส่วนร่วมกับสภาของเรา และ 5. ส.สากล วุฒิสภายุคใหม่ต้องเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศมีกฎระเบียบข้อบังคับที่ทันสมัยเป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากลเป็นแบบอย่างของประเทศในอาเซียนทำให้ประเทศไทยได้ยืนอย่างสง่างามบนเวทีโลก ทั้งนี้นี่คือวิสัยทัศน์ที่คนที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาเราจะดำดำเนินการ 5 ส.
“เวลาที่ประชาชนจะให้โอกาสเราในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของวุฒิสภาแห่งนี้เหลือน้อยเต็มทีการตัดสินใจของสมาชิกวุฒิสภาจะเป็นการชี้ชะตาอนาคตของวุฒิสภาแห่งนี้ ท่านเลือกได้ที่เป็นตำนานในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวุฒิสภาในฐานะผู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัย 5 ปี ของวุฒิสภายุคใหม่จะไม่สูญเปล่า แต่จะจะเป็นสภาแห่งความหวัง ความศรัทธา ดิฉันขออาสาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงนี้ในบทบาท ประธานวุฒิสภา และขอสมาชิกทุกท่านมาร่วมกันทำให้วุฒิสภายุคใหม่เป็นสภาของประชาชนให้เป็นหนึ่งในเสาหลักประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หนึ่งเสียงของท่านสร้างสิ่งนี้ให้เป็นจริงได้” น.ส.นันทนา กล่าว