เวลาพูดเรื่องสี คนทั่วไปมักนึกถึงสีที่ใช้ระบายภาพหรือสีที่ใช้ทา ซึ่งตามปกติมีชื่อเรียกมากมาย เช่น แดง เหลือง เขียวใบไม้ ม่วง ครามแก่ ม่วงคราม (violet) ม่วงชาด ( purple) แดงเสนแก่ (scarlet) แดงเสน (vermillion) สีส้ม แดงเลือดนก (crimson) แดงยอ แดงทับทิม แดงลิ้นจี่ แดงมณี ม่วงคราม หรือสีลูกหว้า สีกลาโหม สีครามแก่หรือที่มีชื่อเรียกว่าสีกรมท่า สีเขียวอ่อน (light green) เขียวก้านมะลิ เขียวไข่กา เขียวนวล เขียวก้านตอง สีไพล (yellow green) หงชาดก็คือสีกุหลาบ (rose pink) broken yellow คือสีนวลหรือสีเหลืองอ่อน หรือสีลูกจันทร์ สีมอมืด (dark bluish green) คือสีเมฆและสีมอหมึก ซึ่งก็คือสีเทา หรือสีหมอก เป็นต้น
ชนทุกชาติในโลกในโลกมีวัฒนธรรมเกี่ยวกับความเชื่อและการประยุกต์ใช้สีที่มีความสัมพันธ์กับชีวิตที่แตกต่างกัน โดยได้อาศัยความรู้ด้านสังคมศาสตร์ผสมผสานกับวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลาช้านานแล้ว
เช่น คนจีนโบราณเชื่อว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ล้วนสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 5 ธาตุ คือ ดิน ทอง น้ำ ไม้ และไฟ และแต่ละธาตุมีสีประจำ ดังนี้คือ
ธาตุดินมีสีเหลือง ส้ม น้ำตาล เป็นสีประจำธาตุ
ธาตุทองมีสีขาว เงิน ทอง เป็นสีประจำธาตุ
ธาตุน้ำมีสีฟ้า น้ำเงิน และดำ เป็นสีประจำธาตุ
ธาตุไม้มีสีเขียวแก่ และเขียวอ่อน เป็นสีประจำธาตุ
ธาตุไฟ มีสีแดง ม่วงแดง และชมพู เป็นสีประจำธาตุ
เพราะคนจีนเชื่อว่า ดิน คือสิ่งที่รองรับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก ดังนั้น คนธาตุดิน จึงเป็นคนที่มีความอดทน หนักแน่น ยึดมั่น โดยเฉพาะสีเหลือง เป็นสีแห่งอำนาจที่จักรพรรดิจีนในสมัยโบราณจะโปรดการใช้ฉลองพระองค์เป็นสีเหลืองเสมอ ส่วนสีน้ำตาลแสดงการมีจิตใจที่มั่นคงและสมดุล
ธาตุทอง เป็นโลหะที่แข็งแรง คนธาตุทองจึงแสดงการมีความยุติธรรม ส่วนสีขาวบริสุทธิ์ นิยมใช้เป็นสีของเครื่องแต่งกายในการทำพิธีกรรมทางศาสนา
ธาตุน้ำ เปรียบเสมือนการมีความเฉลียวฉลาดที่ล้ำลึก และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับลักษณะของภาชนะที่บรรจุมันได้ดี จึงเปรียบเทียบได้กับการมีความสามารถในการพลิกแพลงและดัดแปลงชีวิตให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี สีประจำธาตุน้ำคือ สีฟ้า และน้ำเงิน ซึ่งแสดงความเยือกเย็น สงบนิ่ง จนสามารถบำบัดอารมณ์ที่เร่าร้อนได้ ส่วนสีดำที่ใช้เป็นสีของธาตุน้ำ มีนัยยะว่า น้ำลึกมีความลึกลับซ่อนเร้นอยู่ภายใน จึงเปรียบเทียบได้กับการมีความเฉลียวฉลาดที่ลึกล้ำของสมอง
ธาตุไม้ แสดงการมีความสามารถในการคิดพัฒนา และสร้างสรรค์ จึงเปรียบเสมือนต้นไม้เล็กที่กำลังเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ซึ่งในอนาคตจะให้ความร่มรื่นแก่นก และมีผลให้คนบริโภค ดังนั้นจึงใช้กับคนที่มีความเมตตา ส่วนสีเขียวของต้นไม้ใช้เป็นสีที่แสดงการกำลังเติบโต และการพยายามฟื้นฟูสุขภาพที่เสียไปให้กลับคืนมา
สำหรับธาตุไฟ ใช้แสดงความโดดเด่นของชื่อเสียง และแสดงความอบอุ่นในการให้ความรู้ สีประจำธาตุไฟ คือสีแดง ซึ่งมักใช้แสดงความกระตือรือร้น ความสนุกสนาน และความปีติยินดี จึงเหมาะสำหรับใช้ในงานมงคล และงานเฉลิมฉลองต่างๆ สำหรับสีชมพูเป็นสีแห่งความรัก ความอ่อนโยน ด้านสีม่วงแดง ใช้แสดงการมีจิตวิญญาณที่ทรงพลัง
ชาวอียิปต์โบราณในสมัยเมื่อ 5,000 ปีก่อน ก็มีวัฒนธรรมในการใช้สีเป็นสัญลักษณ์แสดงความภักดีต่อเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์นับถือ เช่น สีขาว นิยมใช้เป็นสีของมงกุฎที่องค์ฟาโรห์ทรงสวมเพื่อแสดงพระราชอำนาจในดินแดนอียิปต์ทางตอนเหนือ และสีแดงเป็นสีของมงกุฎที่พระองค์ทรงสวมขณะเสด็จประพาสดินแดนอียิปต์ทางตอนใต้ ดังนั้นเมื่อชาว Menes ได้บุกเข้ายึดครองอียิปต์เมื่อ 3,300 ปีก่อนคริสตกาล กษัตริย์ Menes จึงทรงสวมมงกุฎที่มีทั้งสองสี เพื่อแสดงการทรงมีอำนาจสูงสุดเหนืออาณาจักรอียิปต์อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ ในมุมมองของชาวอียิปต์โบราณ สีขาวยังแสดงความสะอาดที่ปราศจากมลทินใดๆ ในพิธีงานศพของสามี ภรรยาหม้ายจะแต่งชุดขาวเพื่อแสดงว่า สามีได้ทอดทิ้งเธอไปแล้ว การวิเคราะห์องค์ประกอบของสีขาวที่ชาวอียิปต์นิยมใช้ แสดงให้เห็นว่า ทำจาก calcium carbonate (Ca2CO3) calcium sulphate (gypsum, Ca2SO4 . 2H2O)
ส่วนสีดำเป็นสีที่แสดงความผูกพันกับความชั่วร้าย จึงนิยมใช้ทาตัวเพื่อปกป้องตนเองให้รอดพ้นจากอำนาจมืดที่ชั่วร้ายจากโลกภายนอก เทพเจ้า Anubis ซึ่งทรงมีพระเศียรเป็นหมาไน ทรงมีพระฉวีทั้งพระวรกายเป็นสีดำ เป็นต้น
เวลามีใครเอ่ยถึงสิ่งที่มีสีเหลือง คนหลายคนจะนึกถึงกล้วยสุก ดวงจันทร์ ไฟจราจรสีเหลือง ดอกทานตะวัน ดอกดาวเรือง เส้นสปาเก็ตตี้ และมะม่วงสุก ฯลฯ บางคนยังรู้อีกว่า สีประจำวันจันทร์ คือสีเหลือง
อารยธรรมของคนโบราณต่างๆ มีความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสีเหลืองมากมาย เช่น ประเทศจีนในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีจักรพรรดิ์แห่งราชวงศ์ Xing พระองค์ได้ทรงกำหนดให้สีเหลืองเป็นสีแห่งฉลองพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้นบุคคลใดก็ตามที่แต่งตัวโดยใช้เสื้อผ้าสีเหลือง จะถือว่าเป็นการกระทำที่บังอาจและอาจถูกนำตัวไปประหารชีวิต
ในอุปรากรงิ้ว ตัวละครที่ทาหน้าด้วยสีเหลือง แสดงว่าเป็นคนที่เคร่งครัดและเลื่อมใสศรัทธาในศาสนามาก ในงานเฉลิมฉลองวาระที่เป็นชาตกาลของขงจื้อ ซึ่งเป็นปราชญ์จีน ปวงชนจะพากันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลือง แม่น้ำฮวงโหมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แม่น้ำเหลือง เพราะกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงได้พัดพาโคลนจากท้องน้ำขึ้นมา ทำให้น้ำกลายเป็นสีเหลือง
ชาวอินเดียโบราณก็มีความเชื่อว่า การนุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีสีเหลืองจะทำให้ชีวิตปลอดภัย คือปราศจากการถูกคุกคามโดยปีศาจ และเวลาสามีเสียชีวิต ภรรยาหม้ายจะนำสีเหลืองมาทาตามเนื้อตามตัวเธอ เพื่อไม่ให้วิญญาณของสามีติดตามมารบกวน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 ผนังคุกที่ใช้กักขังนักโทษในยุโรปมักทาสีเหลือง เพราะคนในสมัยนั้นมีความเชื่อว่า ห้องสีเหลืองเป็นห้องแห่งความชั่วร้าย นอกจากนี้สีเหลืองก็เป็นสีแห่งการทรยศหักหลังด้วย ดังนั้น บานประตูของบ้านคนทรยศขายชาติ จึงถูกทาด้วยสีเหลือง หรือเวลาทหารนาซีจะฆ่าชาวยิวด้วยการให้สูดหายใจแก๊สพิษ พวกเขาจะให้บรรดานักโทษที่ถึงฆาตแต่งตัวสวมเสื้อสีเหลือง และในประเทศสเปน ในช่วงเวลาเดียวกันบรรดาเพชรฆาตก็แต่งตัวโดยใช้ชุดสีเหลืองเช่นกัน ในประเทศมาเลเซีย ชาวประมงนิยมใช้สีเหลืองทาลำเรือ เพราะชื่อว่าเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรจะทรงดลบันดาลให้การเดินทางด้วยเรือในครั้งนั้นรอดพ้นและปลอดภัย อนึ่งเวลาใครพูดถึงสิ่งพิมพ์ yellow press เขาหมายถึงสื่อที่มีแต่ข่าวซุบซิบ ด้าน yellow novel หมายถึงวรรณกรรมที่มีแต่เรื่องราวทางเพศ
ไฟจราจรสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์บอกคนที่กำลังขับรถยนต์ให้เพิ่มความระมัดระวัง เพราะตาคนสามารถเห็นสีเหลืองได้ชัดจากที่ไกล ดังนั้นคนขับจึงสามารถหยุดรถได้ในทันที ณ ตำแหน่งที่เหมาะสม อนึ่งเวลาเห็นตัวอักษรสีเหลืองปรากฏอยู่บนผนังสีแดงของกล่องบรรจุภัณฑ์ นั่นแสดงว่าภายในกล่องมีสารไวไฟ หรือเวลานักฟุตบอลได้รับใบเหลืองจากผู้ตัดสิน นั่นแสดงว่าเขาได้ทำผิดกติกาการเล่น แต่ยังไม่ถึงกับผิดในระดับรุนแรง จนต้องถูกไล่ออกจากสนาม เป็นต้น
เราทุกคนรู้ดีว่าสีมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนเห็นสี และนักจิตวิทยาก็ได้พบว่า คนเหงาที่มีอาการซึมเศร้าเวลาได้เห็นสีเหลือง มักจะรู้สึกดีและมีความหวังมากขึ้น หรือถ้าให้ใครอยู่ในห้องที่ทาสีเหลือง คนนั้นก็อาจมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ลดความกังวลลง มองโลกในแง่ดีขึ้น ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น และมีความต้องการจะติดต่อกับบุคคลอื่นมากขึ้น
โดยทั่วไปคนที่ชอบสีเหลืองมักเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงในการทำงาน แต่เป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มาจากบุคคลอื่น นอกจากนี้สีเหลืองยังเป็นสีที่แสดงความเฉลียวฉลาด ความสว่างไสว ความสำเร็จ และสติปัญญา ดังนั้น คณะวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย จึงมักใช้สีเหลืองเป็นสีประจำคณะ
ในทางการแพทย์ สีเหลืองก็มีอิทธิพลในการเป็น “ยา” รักษาใจได้ เช่น คนป่วยโรคไต ดีซ่าน เบาหวานหรือจิตเภท ถ้าได้เห็นสีเหลือง จิตใจของคนไข้จะดีขึ้น ด้วยเหตุนี้แพทย์จึงเสนอแนะคนไข้อยู่ในห้องที่มีการตกแต่งภายในด้วยสีเหลืองอ่อน ซึ่งจะทำให้คนในห้องรู้สึกอบอุ่นเสมือนได้รับแสงอาทิตย์ในยามเช้า
ส่วนแพทย์อินเดียในสมัยโบราณก็มักเชื่อว่า คนที่ได้บริโภคผลไม้สีเหลือง เช่น กล้วยสุก หรือมะม่วงสุก ผลไม้จะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกออกจากร่างกายได้ เพื่อให้เลือดลมได้ไหลวนเวียนเป็นอย่างปกติ และจิตใจคลายเครียด
ศิลปินก็นิยมใช้สีเหลืองเป็นแม่สีชนิดหนึ่ง ที่แสดงอารมณ์ที่เร่าร้อน และรุนแรง ด้วยสีเหลืองเข้ม อาทิเช่น Vincent van Gogh ได้วาดภาพ Sunflowers, Starry Night, Cornfield with Cypresses กับ Night Café จนทำให้สีเหลืองในภาพเป็นสีคลาสสิกที่ใครๆ ก็รู้จัก ส่วนศิลปินอื่นๆ ก็ได้ใช้สีเหลืองมะนาว เหลืองอมคราม เหลืองลูกจันทร์ และเหลืองอ่อน ในการวาด จนได้ภาพที่อมตะนิรันดร์กาล เช่น Sandro Botticelli วาดภาพผมสีบรอนซ์ทองของ Venus ในภาพ Birth of Venus และวาดพระเกศาสีทองของนางเทพธิดาในภาพ Primavera ด้าน Johannes Vermeer ก็นิยมใช้สีเหลืองคู่กับสีน้ำเงิน เป็นสีหลักในการวาดภาพ ดังเช่นภาพ Girl with a Pearl Earring เป็นต้น
คนไทยก็มีสำนวนที่เกี่ยวกับสีเหลืองมากมาย เช่น ชายผ้าเหลืองเป็นสำนวนที่หมายถึง จีวรที่พระสงฆ์นุ่งห่ม ในกลอนสวดของคนไทยโบราณ มีเรื่องเล่าว่า นางสุภาคีมีบุตรชื่อ สุบิน ซึ่งได้ออกบวชเณร แต่นางได้ทำบาปไว้มาก ดังนั้นเมื่อนางตาย ยมพบาลจึงนำตัวไปเผาไฟ แต่ทันทีที่ทิ้งนางลงในกองไฟ ก็มีดอกบัวทองผุดขึ้นมารับ นี่จึงเป็นความเชื่อของคนโบราณที่ว่า การบวชเป็นการสร้างกุศลที่จะช่วยให้บิดามารดารอดพ้นจากไฟนรก ซึ่งมีสีเหลืองเหมือนชายจีวร ส่วนบิดาของสุบินนั้นเป็นพราน เพราะได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อบิดาตาย ก็ได้ไปเป็นเปรตอยู่ในนรก เมื่อเณรสุบินมีอายุครบ ก็ได้บวชเป็นพระ การบวชพระของสุบินได้ทำให้บิดาพ้นจากการทนทุกข์ในนรกขึ้นไปเกิดบนสวรรค์ในทันที สำนวนโบราณจึงมีว่า บวชเณรให้แม่ และบวชพระให้พ่อ ก็เพื่อช่วยให้พ่อและแม่ได้ไปสวรรค์ โดยการยึดชายผ้าเหลืองของลูกนั่นเอง
สำหรับสำนวน ถ้าไม่ตายก็คางเหลือง เป็นสำนวนที่หมายถึง การตกยากลำบากจนเกือบตาย ทั้งนี้เพราะคนไทยโบราณถือว่า ตำแหน่งที่สำคัญของร่างกายมีอยู่ 8 แห่ง คือ กำด้น ต้นคอ จมูก แสกหน้า เพรียงหู ปลายคาง ขากรรไกร และชายโครง เพราะคางเป็นอวัยวะของร่างกายที่อาจถูกเข่า ศอก หรือเท้าของคู่ต่อสู้ สัมผัสได้มาก ดังนั้นสำนวนคางเหลืองจึงมีความหมายว่า เวลาวิวาทกัน ถ้าคางถูกชก และคนๆ นั้นไม่ตาย เขาก็ต้องเข้ารับการรักษาโดยใช้ไพลทา เพราะไพลมีสีเหลือง ดังนั้นเวลาทาไพลที่คาง คางจึงมีสีเหลือง
ส่วนสีแดง ก็มีใช้ในสำนวนไทยมาก เช่น โกรธหมาดำ ทำหมาแดง ซึ่งหมายถึงโกรธคนหนึ่ง แต่ทำอีกคนหนึ่ง จึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควร เพราะเวลาโกรธใคร ก็ควรกระทำที่คนๆ นั้น ไม่ใช่ที่คนอื่น สำนวนเขียวๆ แดงๆ หมายถึงการแต่งตัวของผู้หญิงด้วยเสื้อผ้าสีต่างๆ จนทำให้ผู้ชายอดเหลียวดูไม่ได้ จับดำถลำแดง หมายถึงการเจาะจงทำอะไรบางอย่าง แล้วพลาดจากที่ต้องการ กลับไปได้อีกอย่างหรือคิดว่านี่ แต่กลับเป็นโน่น ข้าวแดง เป็นข้าวที่สีด้วยมือจึงยังมีสีแดงเรื่อๆ ในสมัยที่ยังไม่มีโรงสี คนทั่วไปจะกินข้าวแดงกัน และเวลาใครกินข้าวแดงของใคร เจ้าของข้าวก็จะเป็นผู้มีบุญคุณต่อคนกิน ซึ่งต้องตอบแทน
สังคมอียิปต์โบราณก็ให้ความสำคัญต่อสีแดง รูปปั้นดินเหนียวที่เป็นผู้ชายจะมีผิวสีแดง ส่วนผู้หญิงจะมีสีขาว-เหลือง ซึ่งมีนัยยะว่า ผู้ชายต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่นอกบ้าน และผู้หญิงใช้ชีวิตทำงานในบ้าน ผิวของเธอจึงผุดผ่องเป็นเนื้อนวล
ในความเชื่อของคนจีนนั้น แดงเป็นสีนำโชค คนรัสเซียมีจตุรัสแดงซึ่งแสดงการปฏิวัติ ในรัชสมัยของพระนางเจ้า Victoria แห่งอังกฤษ ภายในพระราชวังมีห้องนั่งเล่น โรงละครและห้องรับแขกที่ตกแต่งด้วยกำมะหยี่สีแดง เพราะทรงดำริว่า ห้องแดงทำให้คนที่อยู่ในห้องรู้สึกอบอุ่น และสีแดงเป็นสีแห่งกษัตริย์ การปูพรมแดงจึงหมายถึงการต้อนรับเยี่ยงกษัตริย์ แต่ห้องเรียนที่ทาสีแดง มักทำให้นักเรียนรู้สึกร้อนรน ว้าวุ่น และจิตใจไม่สงบ คนที่มีความรักเวลาเห็นสีแดงจะรู้สึกว่า บรรยากาศอบอวลด้วยอารมณ์บวก แต่สำหรับคนที่โกรธ สีแดงจะแสดงอารมณ์แค้นของเขา ซึ่งก็เป็นไปตามที่นักจิตวิทยาได้พบว่า สีแดงสามารถกระตุ้นความรู้สึกและความกระตือรือล้นของจิตใจ รวมทั้งความเป็นอันตรายและความทะเยอทะยาน
สำนวน red hand ในภาษาอังกฤษ หมายถึงการถูกจับได้แบบคาหนังคาเขา หรือถ้าเป็นกรณีการฆาตกรรม ก็หมายถึงการเห็นเหตุการณ์ฆาตกรรม ขณะมีดยังเปื้อนเลือดอยู่ คนที่เหนื่อยเวลาเห็นสีแดง พลังกายส่วนหนึ่งจะกลับคืนมา คนขี้อายก็จะกล้าขึ้น เทพเจ้าแห่งสงคราม คือ Mars เป็นเทพประจำดาวแดง (ดาวอังคาร) คนผมแดง (red head) มักเป็นคนอารมณ์ร้อน เทพเจ้า Thor ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสายฟ้า ก็มีเคราแดง เมื่อพระนาง Mary พระราชินีแห่งประเทศสก็อตแลนด์เสด็จสู่ตะแลงแกง พระนางทรงสวมเสื้อคลุมสีดำ แต่เมื่อใกล้จะถึงเวลาสำเร็จโทษด้วยคมขวาน พระนางทรงถอดเสื้อคลุมออก แสดงให้เห็นชุดกำมะหยี่สีแดงก่ำ ซึ่งเป็นสีแห่งศรัทธาที่พระนางทรงมีในคริสต์ศาสนานิกาย Roman Catholic จักพรรดิ Montezuma แห่งอาณาจักร Inca และองค์สันตะปาปาแห่งอาณาจักร Vatican ทรงมีผ้าคลุมไหล่สีแดง เพราะสีแดงเป็นสีของคนที่สูงศักดิ์ และสีแดงบนธงชาติแสดงความกล้าหาญ
การกรีดเลือดเป็นการแสดงการร่วมคำสาบาน คนที่ชอบสีแดงมักเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ และนักปฏิวัติที่ชอบการต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความกล้าหาญ และความเป็นอิสระ บ้านโคมแดงแสดงว่าเป็นสถานที่อโคจร
ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของสีแดงที่ชาวอียิปต์โบราณใช้ทาหน้าตัว sphinx นั้น นักเคมีวิเคราะห์ได้พบว่า ทำจาก arsenic sulphide (As2S2) ซึ่งทำให้มีสีแดงสดกว่าสีแดงทั่วไป
Russell Hill จากมหาวิทยาลัย Durham ในประเทศอังกฤษได้ศึกษาผลกระทบหรืออิทธิพลของสีในการแข่งขันกีฬา 3 ประเภท คือ มวย เทควันโด มวยปล้ำ และได้พบว่าจากการให้นักกีฬาสวมเสื้อผ้าที่เป็นสีแดงหรือน้ำเงิน ในการต่อสู้ทั้งหมด 441 คู่ คนสวมเสื้อสีแดงจะชนะ 242 คู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 62% ของคนที่ใส่เสื้อผ้าสีแดงจะชนะ ถ้าการต่อสู้นั้นเป็นแบบประชิดตัว แต่ถ้าเป็นการต่อสู้แบบไกลตัว เช่น กีฬาฟุตบอล ทีมที่สวมเสื้อแดงมีแนวโน้มว่า จะชนะมากกว่า นี่เป็นสถิติที่ได้จาการแข่งขัน Euro 2014 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาได้กล่าวว่า เพราะสีแดงได้กระตุ้นคนสวมเสื้อให้หลั่งฮอร์โมน testosterone ออกมามาก และมีกิริยาอาการข่มขวัญคู่ต่อสู้ ซึ่งถ้าข้อสรุปนี้เป็นจริง 100% การแข่งขันกีฬาทุกประเภทก็ควรห้ามนักกีฬาทุกคนไม่ให้แต่งแดง เพื่อความเท่าเทียมและไม่มีการ bully กันทางจิตใจ
โดยสรุป สีที่สดสวยช่วยให้จิตใจสงบ จึงมีผลกระทบต่ออารมณ์ในด้านบวก เช่น ช่วยให้สามารถนึกคิดและสร้างสรรค์สิ่งดีต่างๆ ได้ ดังนั้นในการใช้สีตบแต่งหรือแต่งกาย เราจึงต้องเข้าใจความสำคัญด้านจิตวิทยาของสี เพื่อให้ชีวิตของเราและคนอื่นๆ มีคุณภาพ
อ่านเพิ่มเติมจาก Color : A Multidisciplinary Approach โดย Heinrich Zollinger จัดพิมพ์โดย Wiley ปี 1999
สุทัศน์ ยกส้าน
ประวัติการทำงาน-ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์และดาราศาสตร์ และ ศาสตราจารย์ ระดับ 11 ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นักวิทยาศาสตร์ดีเด่นและนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ สาขากายภาพและคณิตศาสตร์ ประวัติการศึกษา-ปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยลอนดอน, ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
อ่านบทความ "โลกวิทยาการ" จาก "ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน" ได้ทุกวันศุกร์