คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) อนุมัติงบอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรมสำหรับการแก้ปัญหาโควิด 19 วงเงิน 20 ล้านบาท ให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ผอ.สกสว. เชื่อมือ สวรส. และกลไกการประสานงานการวิจัยโควิด-19 จะดำเนินการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโรคนี้ได้อย่างมีศักยภาพ
คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) อนุมัติงบอุดหนุนการวิจัยและนวัตกรรมสำหรับการแก้ปัญหาโควิด-19 (COVID-19) วงเงิน 20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา จากงบสำรองของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ให้แก่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เพื่อสนับสนุนการวิจัยเชิงระบบ โดยดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในกลไกการประสานงานการวิจัยโควิด-19
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการ สกสว. เปิดเผยข้อมูลว่า เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ยังคงขยายขอบเขตไปในประเทศต่างๆ และเริ่มมีประเทศที่กําลังจะเป็นแหล่งการแพร่ระบาดขนาดใหญ่เดินตามประเทศจีน แต่โลกยังขาดความรู้ความเข้าใจต่อเชื้อตัวนี้อยู่มาก
ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ จึงต่างเร่งศึกษาวิจัยในทางคู่ขนานเนื่องจากเชื้อไวรัสในกลุ่มนี้มีทั้งที่มีการระบาดแล้วและรอฉวยโอกาสในอนาคต ซึ่งอาจกลายพันธุ์จนมีความรุนแรงมากขึ้น
"รายงานการศึกษาสําคัญแรกที่ทําให้โลกเริ่มเข้าใจโควิด-19 จากประเทศจีน คือรายงานข้อมูลทางคลินิกและข้อมูลระบาดวิทยาของผู้ติดเชื้อและมีอาการจํานวน 425 คนจากอู่ฮั่น จังหวัดหูเป่ย จนถึงปัจจุบันสถานการณ์ การระบาดในประเทศจีนเริ่มควบคุมได้ แต่การระบาดในประเทศต่างๆ ดูเหมือนเพิ่งจะเริ่มต้น และบางประเทศมีแนวโน้มน่าเป็นห่วงว่าจะมีการระบาดที่ไม่ต่างจากประเทศจีน เมื่อถึงตอนนั้น มาตรการควบคุมก็ อาจไม่ได้ผล และต้องการการตอบสนองที่เข้มงวดขึ้น"
เมื่อวันที่ 11-12 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลกได้เชิญผู้เชี่ยวชาญไปช่วยกําหนดโจทย์และนวัตกรรมที่จะเป็นแผนที่นำทางการวิจัย หรือ Research Map ของ COVID 2019 และจัดทําเป็นรายงานชื่อ COVID 2019 Public Health Emergency of International Concern (PHEIC), Global Research and Innovation forum: towards a research roadmap
สำหรับในประเทศไทย มีการจัดตั้งกลไกการประสานงานการวิจัยโควิด-19 มีกรมควบคุมโรคเป็นฝ่ายเลขากลไกประสานงาน ประกอบด้วยองค์กรต่างๆ ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมการแพทย์ สํานักงานวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (สวทช.) นักวิจัยที่มีประสบการณ์สูงด้านการ วิจัยโรคติดเชื้อ และด้านการสาธารณสุขจากสถาบันการศึกษา สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย องค์กร เอกชน และองค์กรสนับสนุนการวิจัยได้แก่ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)
"กลไกการประสานนี้มีการประชุมทุก 2 อาทิตย์ มีการกําหนดโจทย์วิจัยเร่งด่วนที่ต้องการสนับสนุนทุนวิจัย อาทิ การวิจัยทํานายการระบาดในประเทศไทยในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อนํามาใช้วางแผนและเตรียมการ การวิจัยเพื่อการวินิจฉัยให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพิ่มโอกาสการรักษาแล้วหาย ลดการแพร่ระบาดและการควบคุมได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น"
เนื่องจากการะบาดโควิด-19 เกิดขึ้นระหว่างปีงบประมาณขององค์กรสนับสนุนทุนวิจัย ทำให้ สวรส. ขาดงบประมาณสนับสนุนทุนวิจัยทางด้านนี้ตั้งแต่ต้น ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วนด้านการวิจัยระบบเพื่อตอบสนองการระบาดโควิด-19 คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) จึงได้อนุมัติงบประมาณวิจัยดังกล่าวเพิ่มเติม
ศ.นพ.สุทธิพันธ์ ระบุอีกว่า สกสว. เชื่อมั่นในการทำงานของ สวรส. และหน่วยงานในกลไกการประสานงานการวิจัยโควิด-19 ว่าจะสนับสนุนและออกแบบการทำงานได้อย่างมีศักยภาพ ภายใต้งบประมาณ 20 ล้านบาท โดยมีกรอบการวิจัยที่มีการออกแบบไว้ให้สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกระบุ คือ
1.วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและระบบเพื่อการวินิจฉัยในระดับชุมชน/ระบบ สาธารณสุข สัดส่วนงบวิจัย 27 %
2.วิจัยเพื่อพัฒนาขั้นตอนการรักษาตามระยะของโรคให้มีประสิทธิผล สัดส่วนงบวิจัย 5%
3.วิจัยเพื่อพัฒนาอุปกรณ์ มาตรการสิ่งแวดล้อมที่ป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชน และในหน่วยบริการสุขภาพ สัดส่วนงบวิจัย 18%
4.วิจัยพัฒนายา วิธีการรักษา และการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันสัดส่วนงบวิจัย 42%
5.การวิจัยด้านสังคมศาสตร์เพื่อการตอบสนองต่อการระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ สัดส่วนงบวิจัย 8%
6.การพัฒนาระบบกลไกสนับสนุนการวิจัยในระยะยาวสัดส่วนงบวิจัย 2%