วช.จัดสัมมนารูปแบบใหม่ในยุค COVID-19 การสัมมนาวิชาการในครั้งนี้เป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญ ในขณะเดียวกันอยากให้คนมีส่วนร่วมเป็นจำนวนมากโดยที่ไม่ต้องเดินทางมาในวันนี้
ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ร่วมกับ Dr. Daniel Kertesz ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นายแพทย์ ศุภมิตร ชุณห์สุทธิวัฒน์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโลก รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้นำเสนอสรุปและผลรายงานขององค์การอนามัยโลกที่ได้ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติเข้าไปที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง จุดเริ่มต้นของการระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งมีคนสงสัยและสนใจเป็นจำนวนมากว่าเกิดอะไรขึ้นที่ประเทศจีน องค์การอนามัยโลกได้ทำการศึกษา และรายงานผลมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์อย่างมาก ทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยสามารถนำมาใช้ในการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ได้
ในการศึกษาครั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจำนวน 25 คน จาก 8 ประเทศไปที่ประเทศจีนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้ไปดูจุดเกิดเหตุ ไปปฏิบัติและดูแนวทางต่างๆ พบข้อมูลที่น่าสนใจอยู่หลายข้อมูลด้วยกัน ตัวอย่างข้อมูลที่พบว่าในช่วงต้นที่ไวรัสอู่ฮั่นระบาด ไม่ทราบว่าเป็นเชื้ออะไร แล้วก็พบผู้ป่วยจำนวนมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเมื่อมีการพบวิธีการตรวจสอบในการตรวจวินิจฉัยและการดูแล ใช้มาตรการในการควบคุมสามารถที่จะควบคุมให้ผู้ที่ติดเชื้อลดลง
ขณะนี้ประเทศจีนยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ พบน้อยกว่าในช่วงแรกๆ และมีผลการศึกษาที่น่าพอใจหลายอย่าง มีการศึกษาพบว่าผู้ป่วย 80% เป็นการป่วยแบบเบาๆ คือมีไข้ ไออยู่บ้าง นอนพัก กินยาลดไข้ อาการก็จะดีขึ้น มีผู้ป่วยติดเชื้อ 14% ที่มีอาการรุนแรง ต้องนอนโรงพยาบาล ให้ออกซิเจน และมีประมาณ 6% มีอาการป่วยหนักแบบวิฤกต ต้องเข้าห้องไอซียู ซึ่งในกลุ่มนี้ 1 ใน 3 จะเสียชีวิต ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่ว่าจะติดเชื้อเบาๆ หรือติดเชื้อกลางๆ เกือบทั้งหมดจะหายป่วย คนที่ติดเชื้อหนักวิกฤตจำนวนมากก็จะหาย สามารถที่จะดูแลได้ อัตราการตายในช่วงแรกก็จะสูงมากถึง 10-15% ในสัปดาห์แรกในช่วงต้นเดือนมกราคม หลังจากพบวิธีการรักษาว่าจะดูแลอย่างไรอัตราการตายก็ต่ำลงอย่างมาก ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์อัตราการเสียชีวิตผู้ติดเชื้อในประเทศจีนลดลงเหลือต่ำกว่า 0.7%
สรุป เมื่อการดำเนินของโรคเป็นอย่างไร กลุ่มใดต้องดูแลเป็นพิเศษแล้วจะสามารถดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น ข้อมูลอีกหนึ่งที่สำคัญคือการดูแลผู้ติดเชื้อในช่วงอายุต่างๆ พบว่าเด็กมีอัตราการติดเชื้อค่อนข้างต่ำ เด็กส่วนใหญ่เมื่อติดเชื้อแล้วอาการก็จะน้อยมากแล้วก็ไม่เสียชีวิต ในขณะที่อัตราการเสียชีวิต และอัตราการติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุ 80 ปี จะมีอัตราการติดเชื้อสูง และมีอัตราการตายสูง ขณะเดียวกัน จะมีกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ อาทิ กลุ่มที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดัน กลุ่มนี้ต้องระวังการติดเชื้อจะมีความรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น
ด้านศาตราจารย์ นายแพทย์ สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช.ซึ่งมีบทบาทสนับสนุนข้อมูลวิชาการ เผยแพร่ข้อมูลสำหรับเตรียมการรับมือ COVID-19 ว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากจุดศูนย์กลางการระบาดของโรค การรับมือ COVID-19 ของจีนสามารถนำมาเป็นยุทธศาสตร์ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ และของโลก
การศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็น 1. เห็นถึงความร่วมมือของนานาชาติที่สำคัญมาก มีการแชร์ข้อมูลกันในทุกประเทศ แต่ก็ยังมีข้อมูลหลายอย่างที่ต้องการทราบ 2. สิ่งที่ทำครั้งนี้ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากขนาดนี้ ทำให้สามารถนำข้อมูลที่ได้มาสู่วิธีการป้องกัน จากสถานการณ์ที่แย่มาก มาสู่มาตรการที่ควบคุมได้ 3. เรื่องนี้ยังต้องศึกษาหาวิธีการรับมืออีกต่อไป 4. ความรู้ที่ได้ยังมีสิ่งที่ยังไม่ทราบ จำเป็นต้องมีการวิจัยพัฒนาหาข้อรับมือต่อไป เพื่อหามาตรการป้องกันต่อไป ซึ่ง COVID-19 ถือว่าเป็นประเด็นท้าทายของวงการแพทย์และระบบสาธารณสุขของไทยต่อไป ทำให้ต้องมีมาตรการรับมือ ต้องเป็นมาตรการระดับชาติ ที่รวดเร็ว และได้ผล ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน มาตรการที่ใช้มาแล้วได้ผล แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และต้องเตรียมให้พร้อมในระยะต่อไป
ด้าน Dr. Daniel Kertesz ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า บทบาทขององค์การอนามัยโลกที่ดูแลโรคติดต่อและโรคทั่วไปทั่วโลก โดย WHO ทำงานเป็นกลุ่ม จากผู้ติดเชื้อ COVID-19 มีการกระจายทั่วโลกจึงรวมตัวกันเพื่อทำงานสำคัญนี้ว่าโรคอะไร ระบาดอย่างไร มีวิธีการรักษาอย่างไร อันดับหนึ่งเลยต้องหาเคส จำกัดการแพร่เชื้อไม่ให้ระบาดเป็นวงกว้าง ตอนนี้ประเทศไทยเราเป็นเฟส 2 แต่ว่าโอกาสที่แพร่ระบาดไปก็ยังมี เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัวและมีมาตรการอย่างดีเพื่อที่จะควบคุมให้อยู่เฟสนี้เฟสเดิม
ทำไมถึงมีความสำคัญ คือถ้าเราป้องกันได้ อันดับหนึ่งก็คือจะทำให้มันเกิดการระบาดช้าลง เวลาช้าลงเราก็จะมีวิธีการป้องกันและเตรียมตัวให้ทันการณ์ เราสามารถทำให้ระบบสาธารณสุขของเราพร้อมและทำให้ประชาชนมีความรู้และพร้อมด้วย
ทำอย่างไรถึงสามารถควบคุมไว้ได้ 1. เราต้องทำการสำรวจในทุกๆ ที่ที่เป็นไปได้ อันดับที่ 2 ถ้าเป็นคนไข้มาแล้วต้องทำการตรวจให้เขา ตรวจแล้วรีบแยกออกไปไม่ให้มาระบาดเพิ่มเติม บุคลากรการแพทย์ identity และ contract เช่น สมมติเป็นแล้วดูว่าใครจะติดต่อเนื่องออกไป ตามได้อย่างครอบคลุม ถ้าทำได้แบบนี้ระบบห่วงโซ่ที่ทำให้ติดเชื้อก็จะถูกทำลายลงไป ถ้าทำได้เหมือนประเทศจีน ประเทศไทยเราก็จะสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้ 2 ข้อความหลักๆ ที่ต้องการเน้น ก็คือ 1. พยายามหาเคส หาเคสได้แล้วจำกัดไม่ให้กระจายออกไป อันดับ 2 สามารถใช้มาตรการทั่วไปทางสาธารณสุขเพิ่มสุขภาพอนามัยที่ทุกคนสามารถทำได้ สามารถป้องกันและช่วยเหลือกัน โดย
1. ล้างมือบ่อยๆ ให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ หรือการใช้แอลกอฮอล์เจล
2. ถ้าสมมติไอ ให้ไอในกระดาษทิชชูหรือว่าไอตรงบริเวนแขนเสื้อ ถ้าไอใส่กระดาษทิชชูให้ทิ้งลงไปและอย่าลืมล้างมืออีกทีหนึ่งด้วย
3. พยายามรักษาระยะห่างจากคนอื่นประมาณ 1 เมตร โดยเฉพาะคนที่มีอาการไอจาม ก็พยายามป้องกันอย่างเต็มที่
4. พยายามหลีกเลี่ยงอย่าจับบริเวณตา จมูก และปากเรา บางคนติดนิสัย ตอนนี้เป็นเวลาที่จะต้องหยุดได้แล้ว