ภาพในกระจกมองหลังดูแตกต่างจากการเดินทางก่อนหน้า กลุ่มควันสีส้มคละคลุ้งเต็มเส้นทางถนนลูกรังเบื้องหลังอย่างที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้กับถนนราดยางมะตอย ผมเปลี่ยนจุดโฟกัสสายจากกระจกมองหลังมายังหน้าปัดแสดงความเร็วของรถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่ "30 km/h ก็ไม่ได้เร็วมากแล้วทำไมฝุ่นคลุ้งได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย?" ผมคุยกับตัวเอง "อาจจะเพราะปีนี้จะแล้งหนักหรือเปล่า ฝุ่นดินถึงได้เยอะขนาดนี้ เพิ่งจะผ่านช่วงปีใหม่มาไม่นานเอง" ผมตั้งข้อสันนิษฐานคร่าว ๆ เอาไว้ก่อนกลับไปตั้งใจควบคุมยานพาหนะเพื่อเข้าโค้ง ขึ้นเนิน ลงเนิน หลบหลุม ร่องลึก และกิ่งไม้บนถนนลูกรังเส้นนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางนำพาเข้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันออก จังหวัดตาก ความเร็วถูกลดลงจนหยุดนิ่งอยู่หน้าด่านทางเข้าสำนักงานเขตฯ "ในที่สุด กว่าจะถึง" เสียงเพ้อบ่นด้วยความเหนื่อยล้าจากระยะและเวลาที่ใช้ในการเดินทางดังขึ้น หลังจากการกล่าวสวัสดีทักทายกับเจ้าหน้าที่บนสำนักงานเขตรักษาพันธุ์ฯ ก็ต้องจัดเตรียมสัมภาระรวมทั้งเสบียงเพื่อการเดินทางเข้าไปสำรวจความหลากหลายของกล้วยไม้ในโซนด้านใน
เวลาผ่านไปจนแสงแดดเริ่มอ่อนแรง "ลองไปหอดูสัตว์กันไหม?" ผมเอ่ยถามสมาชิกคณะสำรวจ "ไป ตอนไหนล่ะ?" คำตอบพร้อมคำถามกลับดังแทบจะในทันทีเมื่อสิ้นเสียงคำถาม "ไปตอนนี้แหล่ะ จะรออะไร" ผมตอบกลับ กล้องส่องทางไกล อุปกรณ์ถ่ายภาพ ถูกจัดเตรียมขึ้นกับรถยนต์ก่อนออกเดินทางไปยังหอดูสัตว์หมายเลขสามซึ่งเป็นจุดหมายในการขึ้นหอดูสัตว์ครั้งนี้
หอดูสัตว์หมายเลขสามมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นล่างสุดติดพื้นมีห้องน้ำและอ่างล้างมือ บันไดสำหรับขึ้นไปยังชั้นบนเป็นบันไดวนรอบเสาแกนกลางต้นใหญ่ "ผมจะอยู่ชั้นสองนะ ขึ้นไปชั้นสามแล้วมันแกว่งมากไปหน่อย ภาพถ่ายมันจะเบลอ" ผมบอกกับสมาชิกซึ่งกำลังจะขึ้นไปยังชั้นบนสุด กล้องถ่ายภาพประกอบเข้ากับเลนส์ซูมระยะยาวถูกนำมาติดตั้งเข้ากับขาตั้งกล้องซึ่งกางเตรียมไว้ ภาพเบื้องหน้าแตกต่างออกไปจากครั้งก่อน ต้นไม้หลายต้นไม่เหลือใบติดกิ่ง กอหญ้าเขียวกลายเป็นสีน้ำตาล ความแห้งแล้วเข้าปกคลุมพื้นที่ตามช่วงเวลาของฤดูกาลแล้ว กอหญ้าและตอไม้สีดำในทุ่งหลายส่วนบ่งบอกได้ว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นแต่สิ่งนี้ก็เป็นเหตุซึ่งทำให้เกิดสิ่งหนึ่งซึ่งมีความสำคัญจำเป็นกับสัตว์กินพืชมากมายในพื้นที่
"หญ้าระบัด" สีเขียวสดใสตัดกับโทนสีของสภาพป่าตอนนี้ "แบบนี้น่าจะมีสัตวเข้ามาเล็มกินหญ้าระบัดเยอะแน่ ๆ" ผมคิด พร้อมกับมองไปยังโป่งดินเปิดโล่งซึ่งเดิมมักจะถูกบดบังด้วยหญ้าสูงระดับท่วมหลังช้าง และต้องตื่นเต้นดีใจดวงตาเบิกโพลงไปกับเงาดำทะมึนขนาดใหญ่ยืนเด่นอยู่กลางโป่งดินนั้น "กระทิง" ผมบอกสมาชิกให้เปลี่ยนเป้าสายตาไปยังโป่งดิน "กระทิงกำลังกินดินโป่ง" ผมเสริมบอกข้อมูลพร้อมกดปุ่มชัตเตอร์บันทึกภาพ ด้วยข้อดีของกล้องถ่ายรูปแบบดิจิตอลสมัยใหม่ ภาพถ่ายสามารถนำออกมาดูได้โดยในทันทีหลังจากบันทึกภาพไปแล้ว "น่าจะเป็นกระทิงโทนตัวผู้วัยรุ่น" ผมบอกจากลักษณะเขาซึ่งกางออกกว้างต่างจากลักษณะเขาของเพศเมีย กอปรกับการอยู่เพียงตัวเดียวไม่เข้ารวมฝูงอย่างกระทิงเพศเมียที่มักจะรวมกันเป็นฝูงใหญ่และมีกระทิงวัยอ่อนร่วมอยู่ในฝูงด้วย
"ริมเขาฝั่งไกลโน่นมีอีกนะ" เสียงจากสมาชิกดังขึ้นพร้อมชี้ไปยังตีนเขาเปิดโล่งฝั่งด้านขวามือ "ฝูงกระทิงนี่ แต่จำนวนไม่มากนัก เท่าที่เห็นในทุ่งก็น่าจะซักสี่ห้าตัว" ผมเอ่ย "วันนี้โชคดี เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง กระทิงตั้งหลายตัว" ผมบอกกับสมาชิกซึ่งเฝ้ามองกระทิงโทนตัวนั้นจวบกระทั่งดวงอาทิตย์ลับขอบทิวเขาและแสงแดดหมดลง จึงพากันกลับบ้านพักพร้อมความอิ่มใจ
"โห เห็นกระทิงด้วยเหรอพี่" รุ่นน้องวนศาสตร์ ผู้ช่วยหัวหน้าเขตฯ แสดงความยินดีเมื่อรู้ว่ามีกระทิงเข้ามาใช้พื้นที่ทุ่งหญ้าไฟไหม้ "เมื่อต้นปีอาจารย์ก็เข้าไปดูสัตว์ แล้วก็วันก่อนเจ้าหน้าที่ต่างชาติจากองค์กรด้านสัตว์ป่าก็เข้าไปดู แต่ไม่มีใครเจออะไรเลย สัตว์ไม่ออกมาตอนนั้น พี่นี่โชคดีจริง ๆ" เขากล่าว
"ตั้งแต่ช่วงปีก่อนจนกระทั่งกลางเดือนของปีใหม่นี้ เรื่องน่ายินดีของผมก็เพิ่งเกิดนี่แหล่ะ" ผมบอกกับรุ่นน้องไปพร้อมกับรอยยิ้มหวั่นใจว่า เข้าไปสำรวจพื้นที่โซนในรอบนี้จะยังพอมีโชคเหลืออยู่ ไม่ได้ใช้ไปหมดแล้วกับการพบเจอกระทิงโทนตัวนั้น
เกี่ยวกับผู้เขียน
"แต่เดิมเป็นเด็กบ้านนอกจากจั
พบกับบทความ "แบกเรื่องป่าใส่บ่ามาเล่า" ของ “จองื้อที” ได้ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน