สดร. – กองทัพอากาศ - ก.ดิจิทัล จับมือสร้างหอดูดาวเฝ้าระวังวัตถุจากนอกโลก เสริมกำลังหอดูดาวแห่งชาติขนาด 2.4 เมตร ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอย่างเป็นทางการ 23 ธ.ค. นี้
สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับกองทัพอากาศ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (เดิมกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร) เดินหน้าโครงการเฝ้าระวังวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ ตั้งหอดูดาวที่ยอดดอยอินทนนท์ ติดตั้งกล้องโทรทรรศน์ขนาด 0.7 เมตร ติดตามวงโคจรของวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ
โครงการดังกล่าวหวังลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติรวมถึงผลกระทบจากอวกาศที่มีต่อโลก และมุ่งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารความรู้ที่ถูกต้องสู่ประชาชน โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระราชทานนาม “หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ” และกำหนดเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดอย่างเป็นทางการ 23 ธ.ค.59
รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการส สดร.กล่าวว่า “หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ” สร้างขึ้นภายใต้ “โครงการเฝ้าระวังวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ” เป็นความร่วมมือของ 3 หน่วยงานหลัก ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กองทัพอากาศ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (เดิมกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
“กระทรวงวิทย์ฯ โดยส สดร.สนับสนุนกล้องโทรทรรศน์ระบบติดตามวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ กองทัพอากาศสนับสนุนสถานที่ก่อสร้างหอดูดาวฯ ในพื้นที่ของกองทัพอากาศดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ และกระทรวงดิจิทัลฯ สนับสนุนระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต และกิจกรรมพัฒนาบุคลากร” รศ.บุญรักษาระบุ
นอกจากนี้ ทั้ง 3 หน่วยงานยังร่วมมือกันสนับสนุนด้านการศึกษา วิจัย พัฒนา และเผยแพร่ความรู้ด้านดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศให้แก่บุคลากร และประชาชนทั่วไปอีกด้วย
ด้าน ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการ สดร. หัวหน้าโครงการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “โครงการเฝ้าระวังวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ” ยังดำเนินการร่วมกับ Minor Planet Centers ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) และได้รับการสนับสนุนจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) และศูนย์เฝ้าระวังภัยอวกาศประเทศญี่ปุ่น (Japan Spaceguard Assocasiaiton)
“โครงการมีวัตถุประสงค์หลักในการเฝ้าติดตามและศึกษาวงโคจรของวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ เก็บรวบรวมและสร้างฐานข้อมูล เพื่อนำไปศึกษาวิจัยและต่อยอดองค์ความรู้ เป็นศูนย์ข้อมูลการเตือนภัย รวมทั้งสร้างความตระหนัก ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับภัยคุกคามจากวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศให้กับสาธารณชน”
ดร.ศรัณย์ระบุอีกว่า ปัจจุบันมีการสนใจศึกษาและเฝ้าติดตามวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาตำแหน่งที่แน่นอนของวัตถุเหล่านี้ ซึ่งวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ ส่วนใหญ่มีความไม่เสถียรของวงโคจรสูง เนื่องจากหลายปัจจัย ทำให้การหาตำแหน่งที่แน่นอนเป็นไปได้ยาก
ทั้งนี้ ความแม่นยำของตำแหน่งแต่ละวัตถุต้องอาศัยผลการสังเกตการณ์จากหลายๆ ตำแหน่งบนโลก และจำเป็นต้องใช้กล้องโทรทรรศน์จำนวนมากที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความร่วมมือเป็นเครือข่ายขององค์กรดาราศาสตร์ และอวกาศทั่วโลก เพื่อร่วมแบ่งปันข้อมูลและผลการสังเกตการณ์ร่วมกัน”
“การเข้าร่วมเครือข่ายเหล่านี้นอกจากเป็นการศึกษาและหาวิธีป้องกันอันตรายจากวัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะพัฒนาวงการดาราศาสตร์ในประเทศสู่ระดับนานาชาติอีกด้วย ประเทศไทยจึงเข้าร่วมเป็นเครือข่ายติดตาม ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลสังเกตการณ์วัตถุใกล้โลกและวัตถุอวกาศ รวมทั้งสนับสนุนกิจกรรมด้านดาราศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง”
ในการเข้าร่วมเครือข่ายนั้นไทยจะใช้กล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.4 เมตร ที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา บริเวณสถานีทวนสัญญานทีโอที อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 เมตร ที่หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ บริเวณสถานีรายงานดอยอินทนนท์ กองทัพอากาศ เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลดังกล่าว
ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิด “หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ” อย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 23 ธ.ค.59