“เฮเดล” จากอังกฤษตั้งศูนย์วิจัยกราฟีนภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ไทยที่รังสิต และเป็นศูนย์วิจัยของบริษัทแห่งแรกในเอเชีย เพื่อวิจัยต่อยอดวัสดุกราฟีนผลงานนักวิจัยไทย สำหรับรองรับตลาดอุตสาหกรรมในภูมิภาค ด้านตัวแทนไทยเชื่อจะเป็นโอกาสให้ไทยทำงานวิจัยร่วมกับบริษัทระดับโลกได้มากขึ้น
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท เฮเดล กราฟีน อินดัสทรีส์ (Haydale Graphene Industries) จากอังกฤษลงนามความร่วมมือจัดตั้ง เฮเดลเทคโนโลยี (ประเทศไทย) หรือ HTT ศูนย์วิจัยกราฟีนแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย เมื่อวันที่ 6 ต.ค.2559 ณ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย จ.ปทุมธานี และ ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และ มร.เรย์ กิบส์ (Ray Gibbs) ประธานบริหารบริษัท เฮเดล กราฟีน อินดัสทรีส์ ยังได้ร่วมลงนามการเช่าพื้นที่ภายในอาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 (INC2) เพื่อจัดตั้งศูนย์วิจัย HTT
ดร.เจนกฤษณ์กล่าวว่า การที่ เฮเดล กราฟีน อินดัสทรีส์ ซึ่งเป็นบริษัทจากอังกฤษเข้ามาตั้งศูนย์วิจัยในไทย แสดงว่าเขามีความเชื่อมั่นในไทย สำหรับ สวทช.แล้วความร่วมมือครั้งนี้จะเปิดโอกาสให้ได้ทำงานวิจัยร่วมกับบริษัทระดับโลกได้มากขึ้น และเป็นโอกาสที่งานวิจัยของไทยจะไปสู่ระดับโลกได้มากขึ้นด้วย อีกทั้งแสดงให้เห็นว่างานวิจัยชั้นสูงในประเทศไทยนั้นเกิดขึ้นได้ และมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
สำหรับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยนั้น ดร.เจนกฤษณ์กล่าวว่า ถือเป็นนิคมวิจัยแห่งแรกของไทย ซึ่งนอกจาก 4 ศูนย์แห่งชาติแล้ว ยังมีภาคเอกชนกว่า 80 ราย เช่าพื้นที่เพื่องานวิจัยและพัฒนา โดยโครงสร้างพื้นฐานนั้นมีเป้าหมาย 3 ด้าน คือ เพื่อให้เกิดเทคโนดลยีได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เกิดสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี และหากลไกให้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสามารถสนับสนุนอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศได้
“อุทยานวิทยาศาสตร์เป็นสถานที่ให้บริษัทมาตั้งห้องแล็บ เรามีโครงสร้างพื้นฐานให้เขาเข้ามาทำวิจัยได้เต็มที่ นอกจากนี้เวลาทำวิจัยยังต้องใช้นักวิจัย เครื่องมือวิจัย ในนี้เราก็มีนักวิจัยและเครื่องมือวิจัยจำนวนมากที่จะรองรับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอกจากนี้เวลาทำวิจัยเสร็จแล้วจะเอางานวิจัยไปสู่ตลาด เราก็มีระบบนิเวศที่เหมาะสมต่อการวิจัยและพัฒนา แล้วเอางานวิจัยไปสู่ตลาด นอกจากอุทยานวิทยาศาสตร์แห่งนี้ประเทศไทยยังอุทยานวิทยาศาสตร์ในภูมิภาคที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้” ดร.เจนกฤษณ์กล่าว
จากความร่วมมือดังกล่าวศูนย์วิจัย HTT จะทำงานร่วมกับศูนย์นวัตกรรมการพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์และอิเล็กทรอนิกส์อินทรีย์ หรือศูนย์ TOPIC ซึ่งตั้งออยู่ภายในอาคารกลุ่มนวัตกรรม 2 ภายในอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย และมีเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานวิจัยภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม ที่สนใจพัฒนาและประยุกต์ใช้งานกราฟีนสำหรับอุตสาหกรรมทุกประเภท อีกทั้งมีห้องปฏิบัติการและเครื่องมือเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการวิจัยประยุกต์ทางเคมี ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์และชีวภาพ
ดร.ทวีศักด์ กออนันตกูล ที่ปรึกษาอาวุโสผู้อำนวยการ สวทช. ซึ่งเป็นผู้บริหารที่สนับสนุนให้เกิดงานวิจัยทางด้านกราฟีนเล่าว่า เมื่อ 5-6 ปีก่อน ดร.อดิสร เตือนตรานนท์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการหน่วยปฏิบัติการวิจัยนาโนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องกลจุลภาค ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ผู้ศึกษาทางด้านกราฟีนได้เข้ามาหารือว่าไทยน่าจะทำกราฟีนได้ ซึ่งกว่า 5 ปีได้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำกราฟีนไปใช้ในงานอุตสาหกรรมรูปแบบต่างๆ เช่น การสังเคราะห์กราฟีนด้วยเทคนิคเคมีไฟฟ้าเพื่อผลิตหมึกพิมพ์อิเล็กทรอนิกน์ที่สามารถพิมพ์ได้ด้วยเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ตรายแรกของโลกโดย ดร.อดิสร
“วัสดุกราฟีนนั้นเป็นวัสดุมหัศจรรย์ โดยคาร์บอนมีรูปทรงได้หลายแบบ เป็นเพชรก็ได้ กราไฟต์แบบผงถ่านก็ได้ แต่ยุคหลังๆ มานี้มีนักวิจัยสร้างกราไฟต์ที่บางที่สุดเพียง 1 อะตอม โดยใช้สก็อตเทปดึงแผ่นกราไฟต์จนได้กราไฟต์ที่บางสุด ซึ่งพบว่านำความร้อนได้ดี นำไฟฟ้าได้ และแข็งแรง และเรียกวัสดุดังกล่าวว่า กราฟีน” ดร.ทวีศักดิ์กล่าวถึงคุณสมบัติของกราฟีน
ด้าน กิบส์ กล่าวว่าเฮเดลไม่ได้ทำงานวิจัยเรื่องกราฟีนอย่างเดียว แต่ยังทำงานวิจัยเรื่องวัสดุนาโนอื่นๆ ด้วย พร้อมทั้งเผยว่าบริษัทกำลังมีความร่วมมือกับบริษัทแอโรสเปซ (Aerospace) ในงานวิจัยเพื่อใช้วัสดุผสมใส่ลงไปในกราฟีน เพื่อผลิตเครื่องบินที่ป้องกันฟ้าผ่า และกำลังเลือกว่าจะใช้กราฟีนในวัสดุผสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของวัสดุ ส่วนเหตุที่เลือกตั้งศูนย์วิจัยนอกอังกฤษที่เมืองไทยเป็นแห่งแรกนั้น เพราะได้มีความร่วมมือกันมาก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีครึ่ง และนักวิจัยไทยสามารถทำในสิ่งที่บริษัทต้องการ และเมื่อพูดว่าจะทำให้ได้ก็ทำได้ อีกทั้งยังมีความพร้อมด้านเครื่องอำนวยความสะดวก
ส่วน ดร.ศรัณย์ สัมฤทธิ์เดชขจร ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า จุดเริ่มต้นเกิดจากนักวิจัยเนคเทคทำกราฟีนในรูปหมึกไฟฟ้า แล้วทางบริษัทอินโนฟีน (Innophene) ของ คมกฤช สัจจาอนันตกูล ซึ่งปัจจุบันคือกรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัย HTT ได้รับสิทธินำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และได้แสวงหาความร่วมมือเพื่อวิจัยและพัฒนาหมึกไฟฟ้าให้มีไฟแรงมากขึ้น จึงได้ไปคุยกับเฮเดลเป็นเวลาอยู่ปีครึ่ง จนกระทั่งเฮเดลตัดสินใจซื้อ Innophene เมื่อ ส.ค.59 ที่ผ่านมา แล้วเปลี่ยนเป็นศูนย์วิจัย HTT โดยเฮเดลยังมองว่านวัตกรรมที่อินโนฟีนหรือ สวทช.มีนั้นมีศักยภาพที่จะทำตลาดที่เกาหลีหรือไต้หวันได้
“ความร่วมมือระดับโลกนี้ มองว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งพิสูจน์ที่ชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่คิดค้นโดยไทย ซึ่งได้รับการยอมรับในเชิงวิชาการแล้ว มีสิทธิบัตร มีการตีพิมพ์ แต่ในมุมธุรกิจจะทำอย่างไรเขายอมรับได้ ครั้งนี้เป็นตัวอย่างพิสูจน์ว่าเทคโนโลยีของคนไทยได้รับการยอมรับจากบริษัทระดับโลก เป็นสิ่งที่สำคัญทีเดียว สำหรับเทคโนโลยีเด่นของเฮเดลคือ “พลาสมาทรีทเมนต์” คือการเอาไอออนของก๊าซมาทิ้งระเบิดลงพื้นผิวของวัสดุใดๆ หากเขามีวัสดุอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นกราฟีน แล้วใส่เข้าไปในพลาสมาทรีทเมนต์ จากนั้นหาวิธีว่าจะใส่ก๊าซอะไรเพื่อให้วัสดุนั้นกลายเป็นกราฟีนที่มีคุณสมบัติได้ตามต้องการ หรือมีวัสดุอื่นที่ไม่ใช่กราฟีน แต่ทราบว่าเมื่อเอามาเข้ากระบวนการพลาสมาทรีทเมนต์จะทำให้คุณสมบัติดีขึ้น เทคโนโลยีหลักๆ ที่เขามีคือเรื่องนี้”
นอกจากนั้น ดร.ศรัณย์ยังมองว่า งานวิจัยอื่นๆ ของไทยมีโอกาสที่จะเกิดความร่วมมือระดับโลกเช่นเดียวกันนี้ เนื่องจากบริบทของโลกและประเทศไทยนั้นเปลี่ยนไปมาก ทำให้เอื้อต่อบริษัทที่มีคนไม่กี่คนแต่มีเทคโนโลยีและสินค้าเกี่ยวกับเทคโนโลยี และสามารถเพิ่มช่องทางขายยังต่างประเทศผ่านบริษทต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตอนนี้มีทั้งการระดมทุนจากประชาชนหมู่มากที่เรียกว่า “คลาวด์ฟันดิง” (Cloud Funding) และยังมีเว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ ที่สามารถนำมาร้อยเรื่องราวเพื่อสื่อสารกับคนที่อยู่คนละทวีปหรือประเทศได้ ซึ่งอีกตัวอย่างที่มีศักยภาพคือ “เลนส์มิวอาย” เลนส์สำหรับเปลี่ยนมือถือให้เป็นกล้องจุลทรรศน์ผลงานนักวิจัยเนคเทค
สำหรับเฮเดลนั้นเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอังกฤษที่มีมูลค่าตลาดประมาณ 30 ล้านยูโร มีความเชี่ยวชาญทางด้านวัสดุกราฟีนตั้งแต่เริ่มต้น และมีการต่อยอดไปยังวัสดุนาโนอื่นๆ และมีความมุ่งมั่นที่จะขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชีย เพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่เกิดจากเทคโนโลยีวัสดุกราฟีน จึงเกิดความร่วมมือระหว่างเฮเดล และอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ในการจัดตั้งศูนย์วิจัย HTT ขึ้น